ทุนการกุศล กว

พระประวัติ

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

การศึกษา

                สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเรียนหนังสือเมื่อเริ่มแรกกับพระชนนีคำ และต่อมาทรงเข้าเรียนในโรงเรียนสำหรับเด็กหญิงที่ตั้งขึ้นที่วัดอนงคารามที่อยู่ใกล้บ้าน และต่อมาได้เสด็จไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนสตรีวิทยาจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๕๖ ทรงจบชั้นประถมปีที่ ๓ เมื่อพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา และได้ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์และหญิงพยาบาลแห่งศิริราช ซึ่งเป็นโรงเรียนพยาบาลแห่งเดียวในประเทศไทยในขณะนั้น

นักเรียนพยาบาล

                สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเป็นนักเรียนที่มีอายุน้อยที่สุดในรุ่นของพระองค์ซึ่งมีจำนวนเพียง ๑๔ คน พระองค์ทรงเรียนได้ดีและทรงศึกษาสำเร็จภายในสามปี และทรงทำงานต่อที่โรงพยาบาลศิริราช ตามข้อผูกพันของการเป็นนักเรียนหลวง

เสด็จประเทศสหรัฐอเมริกา

                ในช่วงเวลาที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงศึกษาและฝึกหัดการพยาบาลอยู่นั้น ได้มีความพยายามปรับปรุงกิจการแพทย์และการสาธารณสุขในประเทศไทย เพื่อให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่วนหนึ่งของความพยายามนั้น คือการตระเตรียมครูทั้งฝ่ายแพทย์และพยาบาล เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการฝึกหัดแพทย์และพยาบาลต่อไป

                ในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงได้รับทุนให้ไปเรียนวิชาพยาบาลเพิ่มเติมที่สหรัฐอเมริกา พร้อมกับนางอุบล ลิปิธรรมศรีพยัตต์ (ขณะนั้น คือนางสาวอุบล ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา)

ทรงหมั้น อภิเษกสมรส พระราชธิดา และพระราชโอรส

                ในการเสด็จไปเรียนที่สหรัฐอเมิรกาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และ “นางสาวอุบล” ได้พำนักอยู่กับครอบครัวสตรองที่เมืองฮาร์ตฟอร์ด มลรัฐคอนเน็คติกัต และเข้าเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนนอร์ธเวสเทิร์น (North Western) เพื่อฝึกฝนทักษะการพูด การอ่าน และการเขียนภาษาอังกฤษให้ชำนาญก่อนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย และเพื่อให้ได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิต ตลอดจนความคิดจิตใจของชาวอเมริกันให้ดีขึ้น

                สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงห่วงใย และมักเสด็จมาเยี่ยมนักเรียนหญิงทั้งสองคนในวันอาทิตย์ และเมื่อเวลาผ่านไป สมเด็จพระบรมราชชนกทรงพอพระทัยในสมเด็จพระบรมราชชนนีมากขึ้นทั้งในพระสิริโฉมและพระอุปนิสัย ความรู้ความสามารถ ความเฉลียวฉลาด รวมทั้งพระคุณสมบัติอื่นๆ จนในที่สุดได้ทรงมีลายพระราชหัตถ์ กราบบังคมทูลสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระราชมารดา ขอพระราชทานพระราชานุญาตหมั้น “นางสาวสังวาลย์ ตะละภัฏ” เมื่อทรงได้รับอนุญาต จึงทรงหมั้น “นางสาวสังวาลย์” อย่างเงียบๆ ในปีพ.ศ. ๒๔๖๒ ต่อมาเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๓ ทรงจัดพิธีอภิเษกสมรสที่วังสระปทุม ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า

                 หลังจากนั้นทั้งสองพระองค์เสด็จไปประทับที่สหรัฐอเมริกา สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงเปลี่ยนมาศึกษาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและที่สถาบันเอ็มไอที (MIT Massachusetts Institute of Technology) ระหว่างที่สมเด็จพระบรมราชชนกทรงศึกษาวิชาสาธารณสุขศาสตร์นั้น สมเด็จพระบรมราชชนนีได้เสด็จไปศึกษาหลักสูตรเตรียมพยาบาลที่วิทยาลัยซิมมอนส์ (Simmons College)

                 ในภาคฤดูร้อนที่สถาบันเอ็มไอที ในปี พ.ศ. 2464 สมเด็จพระบรมราชชนกทรงสำเร็จการศึกษาได้รับประกาศนียบัตรการสาธารณสุข (Certificate of Public Health C.P.H.) จากนั้นได้เสด็จพร้อมด้วยหม่อมสังวาล ไปยุโรปเพื่อท่องเที่ยว ดูงาน และทรงเจรจากับผู้แทนมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์เรื่องขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิเพื่อพัฒนาปรับปรุงการศึกษาด้านการแพทย์ของ ไทยเข้าสู่มาตรฐานระดับอุดมศึกษา

                 ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๕ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงตามเสด็จสมเด็จพระบรมราชชนกกลับกรุงเทพฯ เนื่องจากขณะนั้นสมเด็จพระราชปิตุจฉาฯ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร พระเชษฐภคินีของสมเด็จพระบรมราชชนกประชวรพระวักกะ (ไต) และเสด็จออกไปรักษาพระองค์ยังประเทศอังกฤษ และทรงพักฟื้นที่ประเทศฝรั่งเศส สมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนีได้ตามเสด็จ ฯ ด้วย

                 ขณะประทับอยู่ที่กรุงปารีส สมเด็จพระบรมราชชนกทรงพระประชวร สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีจึงทรงเฝ้าดูแลพระอาการ เมื่อหายจากพระอาการประชวรแล้ว ก็ได้ตามเสด็จไปยังสก็อตแลนด์ เพื่อสมเด็จพระบรมราชชนกได้ทรงศึกษาวิชาแพทย์ที่เมืองเอดินเบอระ แต่เนื่องจากอากาศหนาวจัด ทำให้ทรง

                 พระประชวรจึงต้องทรงเลิกเรียน ระหว่างนั้นสมเด็จพระบรมราชชนนี ได้ประสูติพระราชธิดาพระองค์แรก คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พระราชธิดาได้รับพระราชทานพระนามจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า “หม่อมเจ้ากัลยาณิวัฒนา มหิดล”

                ต่อมาทั้งสามพระองค์เสด็จกลับประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๖ โดยสมเด็จพระบรมราชชนกทรงรับราชการในกระทรวงธรรมการ ตำแหน่งอธิบดีกรมมหาวิทยาลัย พระองค์ตรากตรำทรงงานหนักเกินพระกำลังทำให้ทรงมีพระพลานามัยทรุดโทรม แพทย์ถวายความเห็นให้เสด็จไปรักษาพระองค์ในต่างประเทศ จึงได้เสด็จไปทวีปยุโรปอีกครั้งหนึ่ง ในการเสด็จยุโรปครั้งนี้ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีและพระราชธิดาได้ตามเสด็จไปประทับที่เมืองไฮเดลเบอร์ก ประเทศเยอรมัน ที่ซึ่งสมเด็จพระบรมราชชนนีได้ประสูติพระราชโอรสพระองค์แรกเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระนามว่า “หม่อมเจ้าอานันนทมหิดล”

                ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีพร้อมด้วยพระราชโอรสพระราชธิดาได้ตามเสด็จสมเด็จพระบรมราชชนก ไปสหรัฐอเมริกา เพื่อทรงศึกษาวิชาการแพทย์ต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และที่ประเทศสหรัฐอเมริกานี้ พระโอรสพระองค์ที่สอง คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชสมภพ ณ โรงพยาบาลเมาท์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ เมื่อวันจันทร์ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระนามว่า “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช”

สมเด็จพระบรมราชชนกสิ้นพระชนม์

                 ขณะที่ทรงศึกษาวิชาแพทย์ในปีสุดท้ายที่ประเทศสหรัฐอเมริกา สมเด็จพระบรมราชชนกทรงประชวรโรคพระวักกะกำเริบและพระโรคหวัด แต่ก็ทรงสามารถสอบไล่ได้ปริญญาแพทยศาสตร์ (Doctor of Medicine) ขั้นเกียรตินิยม ในปีพ.ศ. ๒๔๗๑ หลังจากทรงสอบเสร็จ ทรงพระประชวรพระโรคไส้ติ่งอักเสบ ทรงต้องรับการผ่าตัด สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้เฝ้าดูแลพระอาการอย่างใกล้ชิด เมื่อหายจากพระอาการประชวร ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จนิวัติประเทศไทยพร้อมด้วยพระราชโอรสพระราชธิดาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๑ โดยประทับที่พระตำหนักใหม่ ซึ่งสมเด็จพระบรมราชชนก โปรดฯ ให้สร้างขึ้นในวังสระปทุมด้านถนนพญาไท

                 ในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๗๒ สมเด็จพระบรมราชชนกทรงรับเชิญจากโรงพยาบาลแมคคอร์มิค ที่จังหวัดเชียงใหม่ เสด็จไปทรงปฏิบัติหน้าที่เป็นแพทย์ประจำบ้าน ต่อมาในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ เมื่อพระองค์เสด็จกลับกรุงเทพฯ เพื่อร่วมงานถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดชแล้ว ได้ทรงมีพระอาการประชวรและต้องประทับรักษาพระองค์ที่กรุงเทพ ฯ

                 สมเด็จพระบรมราชชนกประชวรอยู่เป็นเวลา ๔ เดือน ก็สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ ณ พระตำหนักใหม่ วังสระปทุม

                 เมื่อสมเด็จพระบรมราชชนกสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระชนมายุเพียง ๒๙ พรรษา ต้องทรงรับพระราชภาระอบรมเลี้ยงดูพระราชโอรสธิดาทั้งสามพระองค์ซึ่งยังทรงพระเยาว์ ขณะนั้นสมเด็จพระเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พระราชธิดาองค์โตทรงมีพระชนมายุ ๖ พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระราชโอรสองค์ที่สองทรงมีพระชนมายุ ครบ ๔ พรรษา และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระชนมายุเพียง ๑ พรรษา ๙ เดือน

                 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงอบรมเลี้ยงดูพระราชโอรสธิดาอย่างใกล้ชิดด้วยความเอาพระทัยใส่ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเสวย บรรทม การศึกษาเล่าเรียน หรือเล่น โดยทรงเน้นเรื่องการอนามัย และการมีระเบียบวินัย เมื่อพระราชธิดาและพระราชโอรสทั้งสองพระองค์เจริญพระชนมายุขึ้น ก็โปรดให้ทรงเข้าศึกษาตามลำดับ

                 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงประทับอยู่ในประเทศไทยจนถึงเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงเสด็จพร้อมด้วยพระราชโอรสและพระราชธิดา ไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่ออนาคตทางการศึกษาของพระราชโอรสธิดาทั้งสามพระองค์

                 หนึ่งปีต่อมา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๗ โดยทรงสละพระราชสิทธิในการแต่งตั้งผู้สืบราชสมบัติ และทรงเห็นควรว่าต้องให้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล ให้ “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล” พระโอรสองค์โตของสมเด็จพระบรมราชชนนี เป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์ เป็นพระองค์ที่ ๘ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ตั้งแต่วันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มีพระชนมายุเพียง ๙ พรรษา และยังคงประทับ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ต่อไป เพื่อทรงศึกษาต่อ

                 ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นครั้งแรก พร้อมด้วยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ ฯ และสมเด็จพระอนุชาธิราช (คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช) และเมื่อเสด็จฯ ถึงประเทศไทยได้หนึ่งวัน คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ประกาศสถาปนาพระอิสริยยศ พระราชชนนีศรีสังวาลย์ขึ้นเป็น“สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์” เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๑

                 ทั้ง ๔ พระองค์ประทับอยู่ในประเทศไทยในระยะเวลาอันสั้นก็ต้องเสด็จพระราชดำเนินกลับไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ต้องเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาต่อ

                 ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลนิวัติประเทศไทยเป็นครั้งที่สองพร้อมกับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษา การเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศไทยในครั้งนี้ ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีต้องทรงประสบกับความโทมนัสอย่างใหญ่หลวงในพระชนม์ชีพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ต่อมาสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ ในวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ กราบบังคมทูลเชิญ “สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช” พระราชโอรสพระองค์ที่สอง ขึ้นครองสิริราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ด้วยพระชนมายุเพียง ๑๘ พรรษา โดยมีสมเด็จพระบรมราชชนนีรับพระราชภาระถวายอภิบาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อมาในช่วง พ.ศ. ๒๔๙๐ ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเรียนรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยโลซานน์นั้น สมเด็จพระบรมราชชนนีก็ได้ทรงลงทะเบียนเรียนแบบ audit ที่มหาวิทยาลัยนี้ด้วย ทรงศึกษาวิชาปรัชญาวรรณคดีฝรั่งเศส ภาษาบาลี และสันสกฤต หลังจากที่พระโอรสทรงอภิเษกสมรสใน พ.ศ. ๒๔๙๓ สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงย้ายจากพระตำหนักวิลล่าวัฒนาที่ประทับของพระองค์และพระโอรสที่เมืองพุยยี่มา ประทับ ณ แฟลตเลขที่ ๑๙ ถนนอาวองโปสต์ ในเมืองโลซานน์

                 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จกลับประเทศไทยในปลาย พ.ศ. ๒๔๙๔ สมเด็จพระบรมราชชนนียังคงประทับที่โลซานน์จนถึง พ.ศ. ๒๕๐๖ ช่วงนี้ได้เสด็จกลับประเทศไทยเป็นครั้งคราว ไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน ใน พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้เสด็จกลับมาประทับที่ประเทศไทยพร้อมกับเริ่มเสด็จประพาสหัวเมืองและเสด็จพระราชดำเนินออกเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ ได้ทรงริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อประชาชนยากจนด้อยโอกาส นับจาก พ.ศ. ๒๕๐๗ เป็นต้นมา

                 สมเด็จพระบรมราชชนนีได้ทรงงานในชนบทมาอย่างต่อเนื่องจนถึงวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพ และเสด็จสวรรคตในวันอังคารที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ ในด้านพระราชอัธยาศัยและพระราชจริยวัตรสมเด็จพระบรมราชชนนีโปรดการดำรงชีวิตที่เรียบง่าย โปรดการทรงงานด้วยพระองค์เอง ทรงใช้เวลาให้เป็นประโยชน์เสมอ ทรงใช้จ่ายประหยัดเพื่อนำพระราชทรัพย์ไปใช้ในกิจการกุศล โปรดการเดินป่า ปีนเขา ทอดพระเนตรดอกไม้และทิวทัศน์ธรรมชาติ ทรงเป็นคนเข้มแข็งและเป็นคนตรง ทรงเน้นการพึ่งตนเองและการทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ทรงยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย ทรงใฝ่รู้ศึกษาวิชาการต่างๆ มาตลอดพระชนม์ชีพ ทรงเลื่อมใสศรัทธาและศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ทรงฝึกสมาธิและทรงดำเนินพระชนม์ชีพอยู่ในธรรมะ ไม่ทรงยึดถือในลาภ ยศ สรรเสริญ เคยมีรับสั่งว่า “คนเราไม่ควรลืมตัว ไม่อวดดี ไม่ถือว่าตนเก่ง”

สวรรคต

                 สมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงพระประชวรโรคพระหทัย และเสด็จเข้ารักษาพระองค์ที่โรงพยาบาลศิริราชเมื่อ วันที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๘ เสด็จสวรรคต เมื่อวันอังคารที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ รวมพระชนมายุ ๙๔ พรรษา ๘ เดือน ๒๗ วัน

พระราชกรณียกิจ

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

                 พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและประเทศชาติของเรา นั้นใหญ่หลวงเป็นอเนกปริยาย เพราะตั้งแต่ทรงเศกสมรสกับสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ และได้เป็นพระราชมารดาของพระมหากษัตริย์ไทยถึงสองพระองค์ คือสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดชในรัชกาลปัจจุบัน จวบจนเจริญพระชนมายุเป็น “สมเด็จย่า” และ “สมเด็จทวด” ของพระราชนัดดาและพระราชปนัดดาหลายพระองค์แล้วก็ตาม แต่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนียัง ทรงมีพระอุตสาหวิริยะสูงในการทรงงาน เพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า

สมเด็จย่ากับการบริหารราชการแผ่นดิน

                 ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๓-๒๕๐๔ อันเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชโดยดำเนินเยือนยุโรปและสหรัฐอเมริกาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงรับพระราชภาระเป็น “ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ในช่วงเวลาแห่งการเสด็จฯ เยือนต่างประเทศของพระองค์ตลอดเกือบ ๗ เดือน ในการนี้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจต่างพระเนตรพระกรรณ ได้อย่างเรียบร้อยบริบูรณ์โดยในระหว่างนั้นได้ทรงเสด็จฯเข้าร่วมประชุมกับคณะองคมนตรีเป็นประจำเสมอมิได้ขาด กับยังได้ทรงลงพระนามาภิไธยในกฎหมายและประกาศทีสำคัญหลายฉบับ อาทิพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์อิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี พ.ศ.๒๕๐๓ พระราชบัญญัติเรื่องการค้าประเวณี พ.ศ. ๒๕๐๓ พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๐๓ และประกาศเรื่องแผนพัฒนาเศรษฐกิจ แห่งชาติระหว่างเวลา พ.ศ. ๒๕๐๔-๒๕๐๙ และประกาศเรื่องแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็นต้น

                 นอกจากนี้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนียังได้ทรงเสด็จฯ ออกรับเอกอัครราชทูตของประเทศต่างๆ ที่ขอเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายพระราชสาส์นตราตั้งในการมาประจำที่ประเทศไทยตลอด นับได้ว่าสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเป็นผู้สำเร็จราชแผ่นดินที่เป็นสตรีพระองค์ที่ ๓ นับเนื่องจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๕ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระราชินีนาถในรัชกาลปัจจุบัน

สมเด็จย่ากับงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข

                 นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๐๗ อันเป็นปีที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่เพิ่งสร้างเสร็จได้ราวปีเศษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้อัญเชิญสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จพระราชดำเนินไปประทับแรมเพื่อพักผ่อนพระอิริยาบถ ณ พระตำหนักแห่งใหม่นี้ในโอกาสที่เสด็จพระราชดำเนินไปประทับแรมครั้งนี้ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้ทรงพระดำเนินไปตามป่าเขาและแวะเยี่ยมเยียนชาวบ้านตามหมู่บ้านต่างๆ ในละแวกนั้น ทำให้ได้ทรงพบเห็นราษฎรหลังจากนั้นเป็นต้นมา

                 ทุกครั้งที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จเยี่ยมประชาชนในท้องที่ห่างไกลก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แพทย์หลวงที่ตามเสด็จช่วยรักษาพยาบาลชาวบ้านที่ป่วยไข้ซึ่งพระองค์จะเสด็จไปทอดพระเนตรการปฏิบัติงานด้วยพระองค์เอง ทุกครั้งอย่างไรก็ตามในแต่ละแห่งที่เสด็จเยี่ยมทรงใช้เวลาราว ๓-๔ ชั่วโมง ทำให้แพทย์ที่ตามเสด็จฯ เพียง ๑-๒ ท่าน ไม่สามารถทำการรักษาผู้ป่วยที่มีจำนวนนับร้อยได้ทัน สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีจึงได้ทรงมีพระราชดำริที่จัดตั้งหน่วยแพทย์อาสาในพระองค์ขึ้น โดยให้ทดลองจัดตั้งขึ้นก่อนในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ซึ่งปรากฏว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง

                 ดังนั้นในปีถัดมา (พุทธศักราช ๒๕๑๒) สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีจึงทรงมีพระราชปรารภถึงแนวพระราชดำริในการจัดตั้งหน่วยแพทย์ พยาบาล เภสัชกรเข้ามาเป็นอาสาสมัครของหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในพระองค์นี้และได้จัดให้มีการประชุมอาสาสมัครเหล่านี้ขึ้นเป็นครั้งแรกที่พระ ตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งผลการประชุมในครั้งนี้ได้ก่อให้เกิด “หน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาล” หรือที่พระราชทานชื่อย่อ “พอ.สว.” ขึ้น ที่นี่หน่วยแพทย์ พอ.สว. จะประกอบไปด้วยแพทย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เป็นอาสาสมัครทำงานด้วยความเสียสละโดยมิได้รับเงินเดือน หรือค่าตอบแทนพิเศษอื่นใดและจะเคลื่อนที่ออกไปให้บริการตรวจรักษาชาวบ้านตามท้องถิ่นต่างๆ ที่กันดารห่างไกล ความเจริญเฉพาะในวันเสาร์และวันอาทิตย์ซึ่งการออกปฏิบัติดังกล่าวเริ่มเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๑๒

สมเด็จย่ากับการศึกษาของเยาวชนในชนบทไทย

                 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงสนพระทัยในเรื่องการศึกษาของเยาวชนในเขตชนบทเป็นอย่างมากด้วยทรงมีพระราชดำริว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เยาวชนในชนบท มีความรู้ความคิดและสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดอันจะเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาชนบท แต่จากการ เสด็จฯ ออกเยี่ยมเยียนราษฎรในปีพ.ศ. ๒๕๐๗ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีกลับทรงพบกับสภาพความขาดแคลน โรงเรียนสำหรับเยาวชนในท้องถิ่นทุรกันดาร ด้วยในเวลานั้นกระทรวงศึกษาธิการยังขยายเขตการศึกษาไปไม่ถึงพื้นที่ตามแนวชายแดนที่ห่างไกล ประกอบกับการสื่อสารโทรคมนาคมก็มิได้เจริญเฉกเช่นในปัจจุบัน ทั้งในเวลานั้นเป็นช่วงที่มีการแทรกซึมของเหล่าผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์อย่างกว้างขวางทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเพิ่มความห่วงใยประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตแทรกซึม ซึ่งบางแห่งมิได้พูดภาษาไทยกัน ด้วยซ้ำจะเกิดความไม่แน่ชัดว่าตนคือคนไทยด้วยหรือไม่ ดังนั้นเมื่อความทราบใต้ฝ่าพระบาทว่ากองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน ได้กำหนดโครงการที่จะจัดสร้างโรงเรียนชาวเขาขึ้นในเขตพื้นที่ตามแนวชายแดนที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีจึงได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้แก่กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อนำไปจัดสร้างโรงเรียนจำนวน ๒๙ แห่งภายหลังผู้มีจิตศรัทธาได้ทูลเกล้า ถวายเงินสมทบในการจัดสร้างได้อีกกว่า ๑๘๕ แห่ง ไม่เพียงเท่านั้น สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ยังได้ทรงรับเอาโครงการของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนไว้ในพระราชูปถัมภ์ ในปัจจุบันมีโรงเรียนเกือบ ๔๐๐ โรงเรียน ซึ่งโรงเรียนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วได้ถูกโอนเข้าไปสังกัดในส่วนงานการประถมศึกษา ส่วนที่ยังคงอยู่ในความรับผิดชอบของตำรวจตระเวนชายแดนมีเพียง ๑๗๐ โรงเรียน และเมื่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเจริญพระชนมายุมากขึ้น ก็มิได้ทรงทอดทิ้ง พระองค์ได้ทรงฝากให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงช่วยดูแลแทนดังพระราชพระแสที่ว่า “ย่าแก่แล้ว ไปไหนไม่ค่อยไหว ถ้าสมเด็จพระเทพฯ เสด็จฯ ก็ให้เยี่ยมแทนย่าด้วย” นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงมีต่อเยาวชนในท้องถิ่นชนบทห่างไกลเป็นล้นพ้น

สมเด็จย่ากับงานอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

                 พระราชกรณียกิจในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่เอื้อคุณประโยชน์ต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างมหาศาลอีกประการหนึ่งคืองานเกี่ยวกับการฟื้นฟูและรักษาทรัพยากรธรรมชาติตลอดจนสิ่งแวดล้อมให้ฟื้นคืนกลับมามีสภาพที่ดีดังเดิม ซึ่งหนึ่งในหลายๆ งานในด้านนี้ของพระองค์ได้แก่โครงการพัฒนาดอยตุง ดังพระราชดำริที่ว่า “ฉันจะปลูกป่าบนดอยตุง” พระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีที่ทรงต้องการทอดพระเนตรเห็นความเขียวชอุ่มและความสมบูรณ์ของสภาพป่าบนดอยตุงพระราชดำรินี้รัฐบาลภายใต้การนำของ ฯพณฯ พลเอกเปรมติณ สูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นจึงได้ก่อตั้งโครงการพัฒนาดอยตุงขึ้น ในปี พ.ศ. ๒๕๓๑

                 ปัจจุบันนี้ สภาพป่าบนดอยตุงสมบูรณ์เกินกว่าที่จะเชื่อว่า เมื่อหลายปีก่อนเคยเป็นภูเขาที่แห้งแล้งไม่มีต้นไม้อยู่เลยด้วย พระราชดำริของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีในการปลูกป่าและพัฒนาความรู้ให้แก่ชาวบ้านบนดอยตุงนี้เอง ทำให้สภาพป่าบนดอยตุงมีความสมบูรณ์ขึ้นมาได้ความสำเร็จของโครงการพัฒนาดอยตุงในครั้งนี้ ได้จุดประกายให้เกิดการตื่นตัวในการสร้างจิตสำนึกเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้บังเกิดขึ้นแก่ประชาชนทั่วไปในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีสภาพสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมจนหมดสภาพ ความเป็นป่าได้เกิดชาวบ้านหันมาให้ความร่วมมือกับราชการเพื่อฟื้นฟูสภาพป่าอย่างเป็นระบบ ให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ตามเดิม