พระประวัติ
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

พระฉายาลักษณ์กับสมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนี พ.ศ. ๒๔๖๖
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเป็นขัตติยนารีในพระบรมราชวงศ์จักรี ผู้ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงทั้งทางการเมือง สังคม และวิทยาการ พระประวัติและพระกรณียกิจล้วนแสดงถึงความเป็นครูและนักการศึกษา ความเป็นผู้มีมนุษยธรรม ผู้ทรงอุทิศพระองค์เพื่อปวงชนอย่างทุ่มเทโดยมิได้ทรงคำนึงถึงความเหนื่อยยาก และทรงทำให้ชีวิตคนจำนวนไม่น้อยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทรงได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกจากองค์กร UNESCO ในปี พ.ศ. ๒๕๖๖
ทรงเป็นเจ้านายฝ่ายในพระองค์แรกในพระบรมราชวงศ์จักรีที่สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาจากต่างประเทศ ด้านวิทยาศาสตร์และทรงสนพระหฤทัยศึกษาเพิ่มเติมด้านสังคมศาสตร์และครุศาสตร์ อีกทั้งทรงใฝ่พระหฤทัยเรียนรู้เทคโนโลยีต่างๆ ที่เป็นประโยชน์เพื่อให้ทรงงานลุล่วงได้ด้วยดี ทรงเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระองค์แรกที่ทรงงานเป็นอาจารย์ประจำสอนหนังสือในระดับอุดมศึกษา ทรงริเริ่มก่อตั้งสมาคม มูลนิธิ และองค์กรการกุศลหลายแห่ง รวมองค์กรการกุศลในพระอุปถัมภ์ทั้งสิน ๖๓ แห่ง เพื่อส่งเสริมพัฒนาการศึกษาแก่ปวงชนไทยทุกกลุ่ม ทั้งเด็กผู้ด้อยโอกาส เด็กออทิสติก เยาวชนอัจฉริยะ บุคลากรอาชีพต่างๆ ตลอดจนการส่งเสริมการเรียนรู้อย่างไม่สิ้นสุดของผู้สูงวัย รวมทั้งการ ส่งเสริมกิจกรรมด้านวัฒนธรรม ศาสนา การดนตรีคลาสสิก การแพทย์ พยาบาล การสาธารณสุข และการสังคมสงเคราะห์อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง
ปฐมวัย
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ณ สถานพยาบาล เลขที่ ๔๘ ถนนเล็กซัมการ์เดน (Lexham Gardens) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พระนามในพระสูติบัตรเมื่อแรกประสูติใช้ตามเดือนเกิดว่า เมย์ (May) เนื่องจากตามกฎหมายอังกฤษในเวลานั้นต้องตั้งชื่อเด็กทารกในสามสัปดาห์ ในเวลาต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “กัลยาณิวัฒนา” คำว่า “วัฒนา” เป็นสร้อยพระนามของสมเด็จพระอัยยิกา สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ในรัชกาลที่ ๕ ด้วย (ต่อไปจะขานพระนามตามพระอิสริยยศสูงสุดคือ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า)
เมื่อแรกประสูติทรงดำรงพระยศเป็นหม่อมเจ้า ด้วยสมเด็จพระชนกในเวลานั้นทรงดำรงพระยศ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ (ต่อมาได้เฉลิมพระอิสริยยศ เป็นกรมหลวงสงขลานครินทร์ในรัชกาลที่ ๗ และสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ในรัชกาลที่ ๙) สมเด็จพระชนนี คือ หม่อมสังวาลย์ (ต่อมาได้เฉลิมพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระราชชนนี ศรีสังวาลย์ ในรัชกาลที่ ๘ และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในรัชกาลที่ ๙)
ใน พ.ศ. ๒๔๗๐ จึงได้ทรงเลื่อนพระยศเป็น พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า ตามพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่โปรดเกล้าฯ ให้ยกย่องหม่อมเจ้า ผู้เป็นพระโอรสธิดาของสมเด็จเจ้าฟ้าซึ่งพระชนนีทรงศักดิ์ชั้นสมเด็จ และหม่อมมารดามิได้เป็นเจ้า ขึ้นดำรงพระยศพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า ต่อมาเมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล พระโสทรอนุชาได้ทรงรับสิริราชสมบัติเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร จึงทรงได้เลื่อนพระยศอีกครั้งเป็น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ใน พ.ศ. ๒๔๗๘ และใน พ.ศ. ๒๕๓๘ ทรงได้รับสถาปนาเป็น กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในรัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นเจ้าฟ้าต่างกรมฝ่ายในตามธรรมเนียมโบราณราชประเพณีเป็นพระองค์แรกและพระองค์เดียวในรัชกาลที่ ๙
เหตุที่ประสูติที่ประเทศอังกฤษนั้น เนื่องจากในเวลานั้น สมเด็จพระบรมราชชนกเสด็จไปทรงศึกษาวิชาแพทย์ที่เมืองเอดินเบอระในสกอตแลนด์ ส่วนสมเด็จพระบรมราชชนนีประทับที่กรุงลอนดอน

สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
ในช่วงปฐมวัย สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ไม่ค่อยจะประทับอยู่ในประเทศไทยนานนัก เสด็จกลับประเทศไทยครั้งแรก ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๖ เมื่อพระชันษา ๖ เดือน ประทับอยู่ในประเทศไทย ๒๐ เดือน (พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๖ ถึงกรกฎาคมพ.ศ. ๒๔๖๘) ระหว่างนั้นสมเด็จพระบรมราชชนกทรงงานด้านการศึกษา ทรงจัดการเรียนการสอนในคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์และในคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตลอดจนทรงทุ่มเทเวลาในการจัดการปรับปรุงการแพทย์และสาธารณสุขให้ดีขึ้น ทำให้พระวรกายทรุดโทรมลงจนแพทย์กราบทูลแนะนำให้เสด็จไปทรงรักษาพระองค์ในต่างประเทศ จึงได้เสด็จพร้อมด้วยพระชายาและพระธิดาไปที่เมืองไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมนี เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๘
วันอาทิตย์ที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๘ พระอนุชาพระองค์แรก ซึ่งต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลพระอัฐมรามาธิบดินทร ทรงพระราชสมภพที่เมืองไฮเดลเบิร์กนี้
ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๖๙ – ๒๔๗๑ ตามเสด็จพระชนกพระชนนีไปประทับที่เมืองบอสตัน มลรัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกาสมเด็จพระบรมราชชนกทรงศึกษาวิชาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สมเด็จพระบรมราชชนนี้ทรงเข้าเรียนวิชาจิตวิทยา การทำกับข้าวและโภชนาการที่วิทยาลัยซิมมอนส์อยู่ระยะหนึ่ง ในเวลานั้นสมเด็จเจ้าฟ้าๆ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์มีพระชันษา ๓ ปีเศษ ทรงเข้าเรียน ชั้นอนุบาลที่โรงเรียนพาร์ค (Park School)
ขณะประทับอยู่ที่สหรัฐอเมริกา สมเด็จพระบรมราชชนกไม่ทรงใช้พระอิสริยยศสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ หรือ Prince of Songkla ทรงใช้พระนามว่า มิสเตอร์ มหิดล สงขลา (Mister Mahidol Songkla) หรือ ม.สงขลา (M.Songkla) เหมือนที่ทรงเคยใช้เมื่อมาทรงศึกษาวิชาเตรียมแพทย์และวิชาสาธารณสุขศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๙-๒๔๖๓ พระชายาทรงใช้พระนามว่า มิสซิสสงขลา และพระธิดาก็ใช้พระนามสั้นๆ ว่า กัลยาณิ
สมเด็จพระบรมราชชนกทรงดำรงพระชนม์ชีพอย่างเรียบง่ายและประหยัด เพราะมีพระประสงค์ที่จะใช้เงินไปในทางที่เป็นประโยชน์ เช่น พระราชทานทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทย หรือพระราชทานไว้ใช้ในกิจการสาธารณกุศลต่างๆ เคยรับสั่งบ่อยครั้งกับนักเรียนไทยในสหรัฐอเมริกาว่า ให้ตั้งใจเรียนให้ดี ให้สำเร็จเพื่อจะได้กลับไปทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ และทรงขอให้นักเรียนที่ได้รับพระราชทานทุน “ประหยัดใช้เงินเพื่อฉันจะได้มีเงินช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป”
ที่เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา พระอนุชาพระองค์ที่สอง ซึ่งต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระราชสมภพเมื่อวันจันทร์ที่ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ขณะนั้นสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระชันษา ๔ ปีเศษ
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ประทับอยู่ที่เมืองบอสตันจนถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๑ จากนั้นตามเสด็จสมเด็จพระบรมราชชนกซึ่งทรงสอบไล่ได้ปริญญาแพทยศาสตร์ขั้นเกียรตินิยมในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๑ แล้ว และเสด็จไปยุโรปพร้อมครอบครัว เพื่อทรงติดต่องานและพักผ่อนก่อนที่จะเสด็จกลับเมืองไทย

สมาชิกทุกพระองค์ในราชสกุลมหิดลได้เสด็จกลับกรุงเทพฯ
ประทับที่ตำหนักใหม่ในวังสระประทุม ในปี พ.ศ. ๒๔๗๑
ระหว่างประทับ ณ วังสระปทุม
วันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๑ สมเด็จพระบรมราชชนก สมเด็จพระบรมราชชนนี พร้อมด้วยพระธิดาและพระโอรสเสด็จถึงกรุงเทพฯสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงจากประเทศไทยไปเกือบสามปีครึ่ง ส่วนพระอนุชาทั้งสองพระองค์ยังไม่ทรงเคยเห็นแผ่นดินไทยเลย ทั้งห้าพระองค์เสด็จไปประทับ ณ พระตำหนักใหม่ วังสระปทุม ในเวลานั้น บริเวณรอบๆ วังสระปทุมยังเป็นเขตนอกเมือง มีผู้คนอยู่ไม่หนาแน่น มีสวนผักสวนดอกไม้และสวนฝรั่ง มีห้องแถวไม้ริมถนนไม่กี่ห้อง มีบรรยากาศแห่งความสงบและร่มรื่น
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนราชินี ตำบลปากคลองตลาด ส่วนสมเด็จพระบรมราชชนกเสด็จไปทรงงานที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิคที่จังหวัดเชียงใหม่ในต้นเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ แต่กลางเดือนก็ต้องเสด็จกลับกรุงเทพฯ เนื่องจากมีงานพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภานุพันธุวงศวรเดช หลังจากนั้นก็ทรงพระประชวร และไม่ได้เสด็จออกอีกเลย
สมเด็จพระบรมราชชนกทรงพระประชวรอยู่นาน ๔ เดือน และสิ้นพระชนมในวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งเวลานั้นมีพระชันษา ๖ ปีเศษ ทรงจำวันนั้นได้ดี อีกห้าสิบเอ็ดปีต่อมา ทรงบรรยายถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า
ข้าพเจ้าจำวันนั้นได้อย่างชัดทีเดียว…ข้าพเจ้าเดินอยู่บนขอบหินของถนนหน้าตำหนักโดยกระที่บรองเท้าลงไปแรงๆ ให้เสียงดังๆ…มีคนมาบอกให้เงียบๆ และให้ขึ้นไปหาแม่ที่ห้องแต่งตัวแม่ แม่นั่งอยู่บนม้ายาวหน้าหน้าต่างแม่ดึงตัวข้าพเจ้าเข้าไปกอดและพูดอะไรที่ข้าพเจ้าจำไม่ได้และร้องไห้ ข้าพเจ้าก็ร้องไห้ไปด้วยเพราะความตกใจที่เห็นแม่ร้องไห้มากกว่าอื่น
เมื่อสมเด็จพระบรมราชนกสิ้นพระชนม์นั้น พระโอรสธิดายังทรงพระเยาว์อยู่มาก แต่กระนั้นพระอุปิสัยและแนวพระดำริ เช่น ความประหยัด การดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ถือพระองค์ การเสียสละเพื่อส่วนรวม และการทำหน้าที่ของตนอย่างดี ได้สับทอดมายังพระโอรสธิดาจากการอบรมของสมเด็จพระบรมราชชนนี ดังที่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระดำรัสว่า
ที่แม่สอนเรามาจากทูลกระหม่อมพ่อ พ่อแก่กว่าแม่แปดปี ทรงสั่งสอนแม่มากและแม่ receptive ดีมาก…ท่านได้อะไรๆ จากทูลกระหม่อมพ่อมากมายเหลือเกิน ที่ท่านสอน ที่พูดกับเรา ฉันไปพบทีหลังว่า ถอดมาเลย เกือบจะเป็นคำเดียวกับทูลกระหม่อมพ่อ
เมื่อสิ้นสมเด็จพระบรมราชชนก เจ้านายเล็กๆ ทั้งสามพระองค์แห่งราชสกุลมหิดล ทรงอยู่ในพระอภิบาลของสมเด็จพระอัยยิกาและสมเด็จพระบรมราชชนนีซึ่งเวลานั้นยังเป็นหม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา แม้พระสุณิสาจะเป็นสตรีสามัญชน แต่สมเด็จพระพันวัสสา อัยยิกาเจ้าก็ทรงรักและไว้วางพระทัยพระสุณิสา ให้อบรมเลี้ยงดูพระนัดดาอย่างเต็มที่

ในสวนวังสระปทุม พ.ศ. ๒๔๖๖
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงรำลึกถึงช่วงเวลาที่ประทับ ณ วังสระปทุมระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๒ – ๒๔๗๖ ไว้ว่าสมเด็จพระบรมราชชนนีทรงสอนให้พระธิดาพระโอรสมีระเบียบ ทำกิจวัตรประจำวันตามกำหนดเวลา และทรงเน้นการอธิบายด้วยเหตุด้วยผล
เราต้องทำทุกอย่างเป็นเวลา เช่น การกิน การนอน การไปโรงเรียน การเล่น นานๆ ที่ถ้าเราไม่ทำตาม ที่ต้องทำจะถูกลงโทษหรือถูกตี โดยที่มีการอธิบายกันก่อนว่าทำไมจึงถูกตี บางครั้งจะมีการเจรจากันว่าควรตีกี่ครั้งแล้วบางครั้งถ้าควรตีให้เจ็บๆ แม่ก็จะสั่งให้มหาดเล็กไปเก็บก้านมะยมและรูดใบออกมาให้…แต่ส่วนมากและเมื่อยิ่งโตขึ้นแล้วแม่จะใช้วิธีอธิบายสิ่งที่ควรไม่ควร สิ่งที่ดีไม่ดี โดยพูดจากันด้วยเหตุด้วยผล
อาจกล่าวได้ว่า ชีวิตในวังสระปทุม เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ปลูกฝังรากฐานทางวัฒนธรรมไทยอย่างแน่นแฟ้นในสมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมหลวงนราธิวาสรานครินทร์ ทรงเรียนรู้และทรงพบเห็นวิถีชีวิตแบบไทยจากกิจกรรมที่สมเด็จพระอัยยิกาและสมเด็จพระบรมราชชนนี้ทรงจัดให้ตามที่เหมาะสมแก่วัยเด็ก เช่น การใส่บาตร การปล่อยนก ปล่อยปลา การไปวัดต่างๆ เพื่อให้รู้จักลักษณะของวัด การชมภาพ จิตรกรรมฝาผนังในวัด การไปงานวัดสระเกศ “เพื่อดูละครลิงและซื้อดอกไม้ไฟ” กิจกรรมหนึ่งที่ทรงประทับใจคือ พิธีโกนจุกที่พระตำหนักของสมเด็จพรพอัยยิกา ถึงกับทรงจำเอามาเล่นกัน
ด้วยเพราะยังทรงพระเยาว์นัก สมเด็จพระบรมราชชนนีไม่ได้ทรงพาให้ไปทรงฟังเทศน์ที่วัด แต่จะทรงอธิบายพุทธประวัติให้ฟังใช้ถ้อยคำง่ายๆ และทรงสอนให้ทรงสวดมนต์สั้นๆ ใช้ภาษาธรรมดา ก่อนเข้าบรรทมว่า “ขอให้พระพุทธเจ้าบันดลใจให้ (ชื่อของเราเอง) เป็นเด็กดี มีใจเมตตากรุณา”
แม้จะทรงกำพร้าพระชนกแต่ยังทรงพระเยาว์ หากด้วยการถนอมเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดเปี่ยมด้วยความรักความห่วงใยจากพระอัยยิกาและพระชนนี ประกอบกับความรักใคร่สนิทสนมของพระอนุชาทั้งสองย่อมทำให้ชีวิตที่วังสระปทุมของเจ้านายเล็กๆ พระองค์นี้มีความผาสุกแช่มชื่น ดังที่สะท้อนจากพระนิพนธ์ แม่เล่าให้ฟัง และเจ้านายเล็กๆ-ยุวกษัตริย์ ที่ทรงเล่าถึงพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนนี รวมถึงเรื่องราวสมัยที่พระอนุชาและพระองค์เองยังทรงพระเยาว์
การเสด็จไปประทับที่สวิตเซอร์แลนด์
วันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบราชาธิปไตยเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สถานการณ์การเมืองที่ผันแปรมีผลต่อสถานภาพของพระราชวงศ์อย่างยิ่ง สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทรงกังวลว่า ด้วยสภาพบ้านเมืองไม่เรียบร้อย อาจมาพัวพันถึงพระนัดดา ด้วยเหตุที่ตามกฎมณเทียรบาลในการสืบราชสันตติวงศ์ พระนัดดาพระองค์รอง คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลทรงอยู่ในลำดับหนึ่ง แห่งการสืบราชสันตติวงศ์ กอปรกับพระอนามัยของพระนัดดาองค์รองก็ไม่สู้จะทรงแข็งแรงนัก จึงมีพระประสงค์ให้เสด็จออกไปศึกษาและรักษาพระองค์ที่ต่างประเทศ
หลังจากทรงปรึกษาหารือกันแล้ว สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงตัดสินพระทัยเลือกไปประทับที่เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเคยเสด็จไปแล้วใน พ.ศ. ๒๔๖๙ การที่ทรงเลือกเมืองโลซานน์เพราะเป็นเมืองที่อากาศดี ภูมิประเทศสวยงามและพลเมืองก็มีอัธยาศัยดีสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จึงเสด็จออกจากประเทศไทยไปพร้อมกับพระชนนีและพระอนุชาเมื่อวันที่ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖ ไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งจะทรงพำนักอยู่จนถึง พ.ศ. ๒๔๙๓ ระหว่างนั้นได้เสด็จกลับประเทศไทยเพียง ๒ เดือนเพื่อตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลฯ เสด็จนิวัตพระนคร พ.ศ. ๒๔๘๑
ในวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๗ ทรงสละราชสมบัติ รัฐบาลได้อัญเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ซึ่งมีพระชันษาเพียง ๙ ปีเศษ ขึ้นครองราชย์สืบราชสมบัติ ด้วยทรงอยู่ในลำดับที่หนึ่งแห่งการ สืบราชสันตติวงค์ตามกฎมณเทียรบาล และตามความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร

พระฉายาลักษณ์ถวายสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงฉายที่สวิตเซอร์แลนด์
พระเชษฐภคินีทรงบันทึกถึงเหตุการณ์สำคัญครั้งนั้นไว้ในพระนิพนธ์ แม่เล่าให้ฟัง อย่างสั้นๆ ว่า
เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ (ค.ศ. ๑๙๓๕) มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ชีวิตธรรมดาๆ ต้องเปลี่ยนไปบ้างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ และรัฐบาลได้อัญเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลเสด็จขึ้นครองราชย์สืบราชสันตติวงศ์ น้องชายคนเล็กและข้าพเจ้าก็เปลี่ยนจากพระองค์เจ้าเป็นเจ้าฟ้า
แม้พระฐานันดรศักดิ์จะเปลี่ยนไป แต่การดำรงพระชนม์ชีพของสามพระองค์พี่น้องที่เมืองโลซานน์ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ถึงจะต้องทรงย้ายที่ประทับไปอยู่ที่ตำหนักวิลล่าวัฒนาซึ่งใหญ่กว่าแฟลตที่เคยทรงอยู่มาก่อน กระนั้นวิถีชีวิตมิได้ผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม สามพระองค์เสด็จไปโรงเรียนตามปกติ วันหยุดก็เสด็จไปเที่ยวนอกเมือง ชมธรรมชาติป่าเขา และสถานที่น่าสนใจต่างๆ
สมเด็จพระบรมราชชนนียังทรงมีสิทธิ์ขาดในการอบรมอภิบาลพระโอรสธิดา ทรงใช้หลักเหตุและผล ให้รู้จักคิด มีระเบียบวินัย “นับถือความจริง มีสัจจะ ไม่หลอกใคร และไม่หลอกตัวเอง” สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเล่าถึงการอบรมของสมเด็จพระบรมราชชนนีว่า “แม่ไม่เคยชมเราว่าฉลาดหรืองาม จะชมก็เมื่อประพฤติตนดี ทำอะไรที่น่าสรรเสริญ เราจึงไม่เหลิง”
ทรงเห็นว่า สภาพแวดล้อมก็มีส่วนช่วยได้มาก เนื่องจากที่เมืองโลซานน์ “ไม่ได้มีคนที่มาห้อมล้อม…มายอ มาเอาใจ…ไม่มีใครเรียกเราว่าเจ้าชายหรือเจ้าหญิง เรียกนายและนางสาว (Monsieur,Mademoiselle)..จึงทำให้เราเหมือนกับคนธรรมดา”
สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงสอนให้พระโอรสธิดารู้จักการทำทาน การบริจาค เสียสละ และไม่เบียดเบียนรังแกผู้อื่น ทรงฝึกให้ทุกพระองค์ทรงขยันขันแข็งในการงาน ทรงสอนให้สุภาพ อดทน มีเมตตา และไม่ยินดีในของที่ไม่ใช่ของตน ที่สำคัญทรงปลูกฝังความคิดเรื่องเป็นคนดี มีความรับผิดชอบ ทำประโยชน์ต่อสังคม ตามที่สมเด็จพระบรมราชชนกทรงตั้งพระหฤทัยไว้ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รับสั่งว่า
ต้องให้เป็นคนดี ในครอบครัวเรา (ความรับผิดชอบ) เป็นของที่ไม่ต้องคิดเป็นธรรมชาติ สิ่งที่สอนอันแรกคือ เราจะทำอะไรให้เมืองไทย ถ้าไม่มีความรับผิดชอบจะไปช่วยเมืองไทยได้อย่างไร
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระอนุชาทรงเติบโตมาท่ามกลางความเรียบง่าย มีพระอุปนิสัยเปี่ยมคุณธรรม และมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่งในการปฏิบัติพระกรณียกิจต่างๆในเวลาต่อมา
การทรงศึกษา
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเป็น “นักเรียนนอก” ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ นอกจากทรงได้เรียนระดับอนุบาล ที่สหรัฐอเมริกาแล้ว ยังได้เสด็จไปทรงศึกษาระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษาที่สวิตเซอร์แลนด์อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่พระชันษาไม่ถึง ๑๐ ปี ทำให้ทรงรอบรู้วิชาการตะวันตกที่ทันยุคทันสมัย และทรงเชี่ยวชาญภาษายุโรปหลายภาษา ได้แก่ ภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมันและละติน


ในด้านการศึกษาในประเทศไทย ทรงมีโอกาสได้เรียนที่โรงเรียนในประเทศไทยอยู่เพียง ๖ ปี ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๑ – ๒๘๗๖ ที่โรงเรียนราชินี ซึ่งเป็นโรงเรียนสตรีที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๕ ทรงตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๗ และสมเด็จเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์กรมหลวงเพชบุรีราชสิรินธร พระปิตุจฉา ทรงทำนุบำรุงอยู่ในเวลานั้น เมื่อทรงเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ นั้น สมเด็จเจ้าฟ้าๆ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเรียนไม่เก่งนัก เพราะภาษาไทยไม่ดี “ตามเขาไม่ค่อยทัน ทีหลังรู้เรื่องก็ไปได้” จนเมื่อทรงเรียนชั้นประถมปีที่ ๓ ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายที่ทรงเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ ทรงเรียนได้ดีถึงขนาดสอบไล่ได้ที่ ๒ ได้รับรางวัลจากกระทรวงศึกษาธิการ คะแนนสอบวิชาต่างๆในหมวดภาษาไทย ทรงเป็นที่ ๓ ส่วนคะแนนสอบหมวดภาษาอังกฤษ ทรงเป็นที่ ๑ รวมคะแนนแล้วจึงเป็นที่ ๒


ความรู้ภาษาไทยของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อทรงเรียนที่โรงเรียนได้ไม่นาน คงจะดีขึ้นมาก ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อมีพระชันษา ๙ ปี ทรงคิดทำนิตยสาร “รื่นรมย์” ขึ้นเอง ทำจากสมุดธรรมดา เขียนด้วยลายมือ ทรงเป็น “บรรณาธิการิณี” ส่วนกองบรรณาธิการเป็นข้าราชบริพารรุ่นเยาว์วัยเดียวกันช่วยกันเขียน ออกได้เพียงฉบับเดียว เพราะบรรณาธิการิณี “เหนื่อยเสียเหลือเกิน”
เมื่อเสด็จไปทรงศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ มีลายพระหัตถ์เป็นภาษาไทยถวายสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเล่าเรื่องความเป็นอยู่และสิ่งที่ทรงพบเห็น นอกจากนั้นเนื่องจากทรงรู้ภาษาไทยดีกว่าพระอนุชาทั้งสองพระองค์ จึงทรงกำกับให้พระอนุชาทรงเขียนไปรษณียบัตรถวายสมเด็จพระอัยยิกาอีกด้วย โดยทรงเขียนตัวอย่างให้ทรงลอก
ในเวลาต่อมารัฐบาลได้ส่งนายเปรื่อง ศิริภัทร ไปถวายพระอักษรภาษาไทยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลฯและพระอนุชาที่เมืองโลซานน์ สมเด็จพระบรมราชชนนีจึงทรงให้ไปถวายพระอักษรสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ด้วยขณะนั้นเสด็จไปทรงเรียนที่โรงเรียนนานาชาติที่เมืองเจนีวาแล้ว ครูนั่งรถไฟไปสอนทุกวันศุกร์ แต่ทรงเรียนไม่นานก็ทรงเลิก ตามเอกสารทางราชการให้เหตุผลว่า เพราะทรงเรียนที่โรงเรียนหนักไม่ทรงมีเวลาพอที่จะทรงศึกษากับครู ในภายหลังสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์พระราชทานสัมภาษณ์ว่า ครูสอนเรื่องพยัญชนะ สระ ทรงเห็นว่าไม่มีประโยชน์มากนัก จึงทรงบอกเลิก แต่กระนั้นก็มิได้ทรงทิ้งภาษาไทย ทรงอ่านหนังสือภาษาไทยเอง เช่น รามเกียรติ์ อิเหนา ความที่ทรงเรียนภาษาไทยที่โรงเรียนมาน้อย ทำให้ทรงสะกดคำไทยไม่เก่งนักในเวลาต่อมาเมื่อทรงพระนิพนธ์หนังสือภาษาไทย จึงทรงระมัดระวัง ใช้พจนานุกรมตรวจศัพท์เสมอๆ ทรงเล่าว่า บางครั้งถ้าไม่เปิดก็พลาดไปเช่น ทรงเขียนคำว่า บันทึก “นึกว่าเหมือนบรรทัด ก็ใส่ บรร เข้าไป โดนโรงพิมพ์ขออนุญาตแก้มา”
อย่างไรก็ตามความรู้ภาษาไทยของพระองค์ทรงดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเสด็จกลับมาประทับที่เมืองไทยแล้ว ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๐ – ๒๕๔๗ ทรงพระนิพนธ์และเรียบเรียงหนังสือภาษาไทย ๑๒ เล่มที่เกี่ยวกับพระราชวงศ์ ซึ่งเป็นหนังสือที่มีคุณค่ายิ่งทางประวัติศาสตร์ และสารคดีการท่องเที่ยวต่างประเทศอีก ๑๐ เรื่องที่ให้ทั้งความรู้ความคิดและความบันเทิง
ด้านความรู้ภาษาอังกฤษนั้น ทรงเรียนมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ รับสั่งเล่าว่า “ไม่เคยลืมเลยตั้งแต่เริ่มต้นเรียนที่อเมริกาเมื่ออายุ ๓ ขวบ ก็พูดมาเรื่อย เพราะแม่บังคับให้ใช้มาเรื่อยและอ่านหนังสือมาเรื่อย” สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงรักการอ่านและทรงเห็นความสำคัญของการอ่านหนังสือ “เด็กต้องอ่านหนังสือจนถึงอายุ ๒๐ กว่าๆ ต้องบังคับให้เด็กอ่าน การอ่านหนังสือจะได้อะไรมาก ฉันเองอ่านหนังสือมากเชียวตอนนั้น มีอะไรก็อ่านหมดเลย”

ตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความสนพระหฤทัยในด้านการอ่านในสมัยทรงพระเยาว์ คือ พระนิพนธ์แปลนิทานสำหรับเด็ก ด้วยเหตุที่สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงเห็นว่า พระธิดาทรงชอบอ่านหนังสือนิทานภาษาอังกฤษ จึงทรงแนะนำให้ทรงแปลเป็นภาษาไทยให้เด็กอื่นๆได้อ่านบ้าง เวลานั้นสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ พระชันษา ๙ ปี ทรงแปลนิทานแบบเก็บใจความ เรื่องที่ยาว ๕ -๖ หน้า ก็เหลือเพียง ๑ – ๒ หน้า สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงช่วยแก้ตัวสะกดแล้วจัดพิมพ์เป็นเล่มแจกในงานวันประสูติสมเด็จพระอัยยิกา เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๕
ส่วนภาษาฝรั่งเศสนั้น ทรงเริ่มเรียนตั้งแต่ที่เมืองไทย เมื่อสมเด็จพระบรมราชชนนีทรงทราบว่าจะต้องเสด็จไปประทับที่เมืองโลซานน์ ซึ่งเป็นเมืองที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส ทรงหาครูมาสอนพระธิดาที่วังสระปทุม สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงระลึก ถึงอดีตครั้งนั้นว่า “ไม่ได้เรียนอะไรมาก เพราะแทนที่จะเรียน ก็เอาสีน้ำมาเขียนหน้าอาจารย์แบบอินเดียนแดง”
เมื่อเสด็จไปถึงสวิตเซอร์แลนด์แล้ว จึงต้องทรงเรียนภาษาฝรั่งเศสกับครูพิเศษอยู่ ๒ เดือน ก่อนจะทรงไปเข้าเรียนระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนเมียร์มองต์ (Miremont) ในเมืองโลซานน์ ตอนแรกยังทรงทำการบ้านเองไม่ได้ จึงต้องให้ครูคนหนึ่งที่สอนที่โรงเรียนนั้นมาช่วย ภาษาฝรั่งเศสของพระองค์จึงค่อยๆ ดีขึ้นๆ
เมื่อเสด็จไปถึงสวิตเซอร์แลนด์ใหม่ๆ พระเชษฐภคินี พระอนุชา ทรงพูดภาษาไทยด้วยกัน แต่เมื่อทรงพูดภาษาฝรั่งเศสได้คล่องแล้ว ก็ทรงพูดภาษาฝรั่งเศสด้วยกัน แต่จะทรงพูดภาษาไทยกับสมเด็จพระบรมราชชนนี เมื่อเจริญพระชันษา เขียนได้คล่อง ทั้งสามพระองค์พี่น้อง ก็ทรงเขียนถึงกันเป็นภาษาฝรั่งเศสด้วยต่อ
ใน พ.ศ. ๒๔๗๘ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงสอบเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมัธยมสตรีประจำเมืองโลซานน์ (Ecole Superieure de Jeunes Filles de la Ville de Lausanne) ซึ่งเป็นของรัฐบาล ที่นี่ได้ทรงศึกษาภาษาเยอรมันและภาษาละดิน ทรงเรียนอยู่ระยะหนึ่ง สมเด็จพระบรมราชชนนีก็ทรงให้ย้ายไปอยูโรงเรียนประจำที่เมืองเจนีวาเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๘๑ เป็นโรงเรียนนานาชาติ ชื่อว่า International School of Geneva เป็นโรงเรียนแบบสหศึกษา มีนักเรียนทั้งชายและหญิง มาจากหลายๆ ชาติที่โรงเรียนนี้ได้ทรงเรียนและใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้น




ในการสอบไล่เลื่อนชั้นแต่ละปี ทรงทำคะแนนได้ผลงดงาม ใน พ.ศ. ๒๔๘๕ ทรงสอบผ่านชั้นสุดท้าย เทียบเท่ามัธยมศึกษาตอนปลายได้ดีเยี่ยมเป็นที่ ๑ ของโรงเรียน และเป็นที่ ๓ ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ในการศึกษาระดับอุดมศึกษานั้น เดิมทีสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเคยตั้งพระหฤทัยว่าจะเสด็จไปทรงเรียนวิชาสาธารณสุขศาสตร์ที่สหรัฐอเมริกาตามรอยพระยุคลบาทสมเด็จพระบรมราชชนก แต่เนื่องจากในเวลานั้น เป็นช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ การเดินทางข้ามทวีปจากยุโรปไปอเมริกาเป็นไปด้วยความยากลำบากและอันตราย ทำให้ไม่อาจเป็นไปได้ดังพระประสงค์ ประกอบกับทรงพิจารณาว่า ในการสอบไล่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ทรงได้คะแนนวิชาเคมีดีเยี่ยม จึงทรงเปลี่ยนพระหฤทัยไปเรียนวิชาเคมีที่มหาวิทยาลัยโลซานน์ใน พ.ศ. ๒๔๘๕ แต่เมื่อทรงเรียนไปแล้ว ทรงพบว่า “ พอเรียนก็สนุกดี แล้วก็รู้เชียวว่า เราไม่ไปไกลหรอก เพราะไม่มีความคิดที่จะทำวิจัยอะไรต่ออะไร หัวไม่ไปทางนั้นเลย…พอได้ปริญญามาก็เก็บ ปริญญาสวยด้วย แต่เก็บใส่ลิ้นชักไว้เลย ”
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิชาเคมี (Diplome de chimiste anayste) ใน พ.ศ. ๒๔๙๒ ในระหว่างที่ทรงศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยโลซานน์ ทรงลงทะเบียนเรียนวิชาด้านสังคมศาสตร์และครุศาสตร์ด้วย ได้แก่ วิชาการศึกษา วรรณคดี ปรัชญาและจิตวิทยา ทรงเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระองค์แรกแห่งพระราชวงศ์จักรีที่ทรงสำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษา สมาคมสตรีอุดมศึกษาแห่งประเทศไทยซึ่งก่อตั้งใน พ.ศ. ๒๕๙๑ จึงได้กราบทูลขอให้ทรงรับสมาคมฯ ไว้ในพระอุปถัมภ์ ใน พ.ศ. ๒๕๙๕
เสกสมรสและมีครอบครัว
ใน พ.ศ. ๒๔๘๗ ซึ่งยังอยู่ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่๒ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเสกสมรส กับนายอร่าม รัตนกุลเสรีเริงฤทธิ์ บุตรของพลเอกหลวงเสรีเริงฤทธิ์ (จรูญ) กับคุณหญิงเอิบ ซึ่งเป็นนักศึกษาเรียนที่มหาวิทยาลัยโลซานน์เช่นเดียวกัน ในวาระนั้นได้ทรงกราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์ตามกฎมณเทียรบาลว่าด้วยการสมรสพระราชวงศ์ เนื่องจากทรงเสกสมรสกับสามัญชน ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการประกาศสถาปนาให้กลับทรงดำรงพระอิสริยยศฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ดังเดิม ด้วยทรงพระราชอนุสรณ์คำนึงว่าพระพี่นางกัลยาณิวัฒนาทรงเป็นพระโสทรเชษฐภคินีอันสนิทและมีพระอุปการคุณแด่พระองค์

สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพันเอก อร่าม รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์
และพระธิดา ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระธิดาเพียงคนเดียว คือ ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๘ ที่เมืองโลซานน์ ทรงเลี้ยงดูด้วยพระองค์เอง ทรงให้ความรักและดูแลเอาพระทัยใส่อย่างใกล้ชิด ทรงเล่าว่า เวลาที่ทรงเลี้ยงพระธิดา ทรงอ่านตำราเลี้ยงเด็กหลายเล่ม
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เคยตรัสถึงช่วงเวลาที่ทรงมีครอบครัว และทรงเรียนมหาวิทยาลัยไปด้วยว่า “ตอนนั้นอยู่เมืองนอก ช่วงสงครามด้วย ไม่มีคนเลี้ยง ต้องทำเอง” และทรงใช้จ่ายอย่างประหยัด ทรงสรุปว่า “ตอนนั้นลำบาก ที่ดีอย่างหนึ่ง คือ การลำบากในชีวิตทำให้เรามีระเบียบ และรู้ค่าของเงิน”
มีผู้กราบทูลถามว่า มีหลักการอะไรบ้างที่สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงสอน แล้วทรงนำมาสอนพระธิดา สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์รับสั่งว่า เรื่องระเบียบและการรับประทานอาหารให้ถูกหลัก เมื่อเสด็จกลับมาประเทศไทย พระธิดาเข้าเรียนที่โรงเรียนมาแตร์เดอี ก็ได้ทรงสอนทำการบ้านเลขและวาดเขียนบ้าง แต่ไม่ได้ทรงช่วยมากนัก ทรงเล่าว่าพระธิดาเมื่อโตขึ้นมีความคิดที่มีเหตุมีผลดีมากเมื่อพระธิดาเล็กๆ ทรงดุบ้าง แต่ไม่ทรงตีเลย

ทรงฉายกับสมเด็จพระบรมราชชนนี พระธิดา (ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม)
และพระนัดดา (จิทัศ ศรสงคราม) ณ วังสระประทุม

ทรงฉายกับครอบครัวพระธิดา
พ.ศ. ๒๕๑๓ ทรงเสกสมรสครั้งที่๒ กับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัชส พระโอรสสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า จุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราไชย กับหม่อมระวี
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระนัดดา ๑ คน คือ ร้อยเอกจิทัศ ศรสงคราม (เกิด พ.ศ. ๒๕๑๗) บุตรท่านผู้หญิงทัศนาวลัย กับนายสินธู ศรสงคราม มีพระปนัดดา ๓ คน อันเป็นบุตรและบุตรีของร้อยเอก จิทัศ กับนางเจสซิก้า นามสกุลเดิม มิกเคลิช ได้แก่ เด็กหญิงเจอริก้า พรวรี ศรสงคราม (เกิด พ.ศ. ๒๕๕๕) เด็กชายเจย์ลาณี่ ศรสงคราม (เกิด พ.ศ. ๒๕๕๘) และเด็กหญิงเจย์ลีน่า ศรสงคราม (เกิด พ.ศ. ๒๕๕๘)
การทรงงานด้านการศึกษา
เมื่อเสด็จกลับมาประทับอยู่ในเมืองไทย ได้ทรงอุทิศเวลาบำเพิญกิจการต่างๆ เพื่อส่วนรวม เริ่มต้นจากการทรงถ่ายทอดความรู้ทางภาษาและวรรณคดีฝรั่งเศสให้แก่เยาวชนไทยในสถาบันระดับอุดมศึกษา ใน พ.ศ. ๒๔๙๕ ทรงเริ่มสอนวิชาภาษาฝรั่งเศสที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสถาบันที่สมเด็จพระบรมราชชนกเคยทรงเป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ และวิชากายวิภาคศาสตร์ มาแล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โปรดการเป็นครู รับสั่งเล่าว่า “ที่จริงชอบวิชาครูมากกว่า และอยากจะเป็นครูตั้งแต่ต้น แต่ที่เจแนฟ (เจนีวา) วิชาครูไม่ได้ระดับมหาวิทยาลัย คนก็บอกว่า ถ้าไม่ได้ปริญญาจะไปทำอะไรที่เมืองไทย ไม่ได้ปริญญาทำอะไรไม่ได้ ก็เลยไม่ได้เรียน” อย่างไรก็ตามระหว่างที่ทรงศึกษาวิชาเคมีที่มหาวิทยาลัยโลซานน์ ก็ทรงศึกษาในหลักสูตรสังคมศาสตร์และครุศาสตร์ไปพร้อมกัน นอกจากนั้น เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีแล้ว ยังทรงศึกษาวิชาวรรณคดีและปรัชญาอย่างลึกซึ้งด้วยความสนพระทัยไม่รู้ ด้วยเหตุนี้เองเมื่อเสด็จกลับประเทศไทย จึงทรงมีประสบการณ์การใช้ภาษาฝรั่งเศสและความรู้เต็มเปี่ยมที่จะทรงสอนภาษาและวรรณคดีฝรั่งเศสในระดับอุดมศึกษาได้อย่างดียิ่ง
อาจารย์พิเศษที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเล่าเรื่องมูลเหตุที่ทรงเริ่มสอนภาษาฝรั่งเศสที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงสนับสนุนให้ทรงสอนหนังสือ พระองค์เองโปรดจะสอนภาษาฝรั่งเศส สมเด็จพระบรมราชชนนีซึ่งใน พ.ศ. ๒๔๙๕ เสด็จกลับจากเมืองโลซานน์มาประทับที่เมืองไทยแล้ว จึงทรงไปสอบถามให้ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในเวลานั้นสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยที่สอนวิชาภาษาฝรั่งเศสอย่างจริงจังก็มีแต่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ทรงเป็นอาจารย์พิเศษ สอนวิชาวรรณคดีฝรั่งเศสแก่นิสิตชั้นปีที่ ๔ วิชาการสนทนาแก่นิสิตชั้นปีที่ ๒ วิชาอารยธรรมฝรั่งเศสแก่นิสิตชั้นปีที่ ๓ และวิชาวรรณคดีแนวจินตนิยม (Litterature romantique) แก่นิสิตชั้นปีที่ ๔ ทรงสอนปีละ ๒-๓ เดือน เป็นวิชาๆ ไป
ทรงเล่าว่า เมื่อทรงเป็นอาจารย์พิเศษที่จุฬาฯ ทรงได้ค่าสอนตามจำนวนชั่วโมงที่สอน อัตราค่าสอนเริ่มที่ชั่วโมงละ ๕๐ บาท ต่อมาได้เพิ่มเป็นชั่วโมงละ ๗๕ บาท “ถ้าสอนมากหน่อยก็ได้เดือนละ ๑,๐๐๐ กว่าบาท ก็ทิ้งไว้ให้สโมสร”
นิสิตที่ได้เรียนกับสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีบ้างที่เกร็งๆ เพราะเกรงในพระอิสริยยศ บางคนกลัวเพราะ “ทรงเข้มงวด และทรงดุ” มีผู้กราบทูลถามเรื่องนี้เมื่อสามสิบกว่าปีให้หลัง ทรงอธิบายเหตุที่ทำให้ใครต่อใครคิดว่าทรงเป็นครูที่ดุว่า “ฉันไม่ดุแต่บางทีฉันโมโหเหลือเกิน เพราะเขาทำอะไรก็ไม่รู้ ทำให้ฉันดุออกมาได้ เพราะเวลาสอนฉันไม่ดุเลย แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ฉันก็ต้องแสดงอะไร ซักหน่อย ก็ต้องทำให้ดุ กลัวกันเอง” ทรงเสริมว่า ถ้าทรงสอนแล้ว นิสิตยังทำแบบเดิมอยู่ไม่แก้ไข ก็ทรงรำคาญ จึงทรงเอ็ดเสียงดัง
วิธีการสอนของพระองค์นั้น เน้นความเข้าใจและวิเคราะห์สิ่งที่เรียน ไม่โปรดการสอนเนื้อหาสาระเพียงอย่างเดียว โปรดให้นิสิตแสดงความคิดเห็น ทรงมีคำถามทุกชั่วโมง โดยไม่เจาะจงให้ใครตอบ ให้ลุกตอบเองตามสมัครใจ ทรงเน้นให้ผู้เรียนเข้าใจความคิดรวบยอดของเรื่องที่เรียนแทนการจดคำบรรยายคำต่อคำ ทรงให้นิสิตทำรายงานสรุปเป็นภาษาฝรั่งเศส (report discussion) ซึ่งในการเรียนการสอนเวลานั้นยังไม่เคยมีการทำรายงานมาก่อน
ทรงสอนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถึง พ.ศ. ๒๕๐๑ ก็ทรงหยุดสอน แต่พระเมตตาคุณที่ศิษย์คณะอักษรศาสตร์จดจำได้ไม่ลืม คือ พระดำรัสว่า “เมื่อเรียนจบ พบกันที่ไหน ก็ขอให้บอกให้ทราบด้วยว่า เป็นลูกศิษย์รุ่นไหน”
อาจารย์ประจำและผู้อำนวยการสอนภาษาต่าง คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หลังจากทรงหยุดพักการสอนหนังสือหลายปี ใน พ.ศ. ๒๕๑๓ ทรงรับมาสอนวิชาภาษาฝรั่งเศสที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในครั้งนี้ทรงเป็นอาจารย์ลูกจ้างประจำ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๑๓ – ๒๕๑๙ และทรงทำหน้าที่ผู้อำนวยการสอนภาษาต่างประเทศอีกด้วย (ในขณะนั้นมีภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน และญี่ปุ่น ภายหลังเพิ่มภาษาจีน และภาษารัสเซีย) ต่อมาทรงลาออกจากการเป็นอาจารย์ประจำใน พ.ศ. ๒๕๑๙ หากทรงรับเป็นอาจารย์พิเศษจนถึง พ.ศ. ๒๕๒๖
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเล่าถึงเหตุการณ์ที่ทรงมาสอนที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดังนี้
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๒ ศาสตราจารย์ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ ผู้ก่อตั้งและคณบดีคณะศิลปศาสตร์ในเวลานั้นมาชักชวนข้าพเจ้าไปสอนและปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าสาขาวิชาภาษาต่างประเทศ…ข้าพเจ้าเคยมีประสบการณ์ในการสอนมาบ้างเพราะเคยเป็นอาจารย์พิเศษที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย…ส่วนประสบการณ์ทางบริหารนั้นไม่มีมาเลย ภายหลังได้ถามอาจารย์อดุลว่าทำไมจึงไว้ใจได้ ท่านตอบว่า…ภาษาฝรั่งเศสของข้าพเจ้าเชื่อถือได้…อีกเหตุผลคงเป็นเพราะในเวลานั้นยังไม่มีหัวหน้าสาขาภาษาต่างประเทศ ในจำนวนอาจารย์ภาษาฝรั่งเศสมีผู้ได้รับปริญญาเอกมา ๒ คน ท่านคงตัดสินไม่ได้ว่าควรเลือกผู้ใด จึงได้เลือกบุคคลภายนอกเข้ามารับตำแหน่งนี้
ในฐานะผู้อำนวยการสอนภาษาต่างประเทศและหัวหน้าสาขาวิชาภาษาฝรั่งเศส ทรงกำกับดูแลหลักสูตร การจัดวิชาสอนตามกำลังคนและความพร้อม การคัดเลือกผู้สมัครเป็นอาจารย์ ทรงติดตามการทำงานของอาจารย์ บางครั้งทรงขอดูข้อสอบ บทอ่าน การบ้านและแบบฝึกหัดที่ใช้สอน พระราชทานคำแนะนำและกำลังใจแก่คณาจารย์ผู้สอนเสมอ
ในด้านการสอนที่คณะศิลปศาสตร์ วิชาที่ทรงสอน ได้แก่ ภาษาฝรั่งเศสสำหรับนักศึกษาขั้นปีที่ ๑, ๒ และ ๔ กวีนิพนธ์ฝรั่งเศสสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ ๓ วรรณคดีฝรั่งเศสศตวรรษที่ ๑๘ – ๑๙ สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ ๔ เมื่อทรงเป็นอาจารย์พิเศษ ทรงสอนวิชาการอ่านวรรณคดี ๒, ๓ และ ๔
อาจารย์ที่ทำงานในภาควิชาภาษาฝรั่งเศสในสมัยที่ทรงเป็นหัวหน้าสาขาวิชาฯ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทรงเป็นครูที่คำนึงถึงความถูกต้องแม่นยำในการถ่ายทอดความรู้ ทรงย้ำเสมอว่า “ต้องสอนความรู้ที่ถูกต้องกับนักศึกษา อย่าสอนอะไรที่ผิด เพราะไม่อย่างนั้นเขาก็จะจำอะไรที่ผิดไป” ทรงอ่านและศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ เคยตรัสเล่าว่า “เวลาสอนนี่ต้องเตรียมมาก อ่านมาก และเตรียมอุปกรณ์ด้วย”
ทรงเป็นครูที่เตรียมการสอนอย่างลึกซึ้ง มีประสิทธิภาพและนำสมัย ทรงให้ความสำคัญกับเทคนิคการสอนเพื่อไม่ให้น่าเบื่อ ทรงใช้ทั้งแบบการอธิบายเชิงวิเคราะห์และแบบการให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ระหว่างการสอน ทรงคอยสังเกตเสมอว่า ลูกศิษย์เข้าใจหรือไม่ เพียงเห็นว่า ลูกศิษย์ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ก็ทรงถามว่า ไม่เข้าใจใช่ไหม แล้วทรงอธิบายซ้ำโดยไม่แสดงอาการเบื่อหน่าย ดังมีรับสั่งในคราวหนึ่งว่า “จะให้ฉันอธิบาย สักสิบครั้งก็ได้ ขอให้นักศึกษาเข้าใจก็แล้วกัน”
ระหว่างการสอน ทรงให้กำลังใจลูกศิษย์พร้อมๆ กันไปด้วย ไม่ให้กังวลกับการใช้ไวยากรณ์ รับสั่งว่า ภาษาฝรั่งเศสไม่ใช่ภาษาแม่ของเรา ฉะนั้นอย่ากังวลว่าจะใช้ภาษาผิดหรือไม่ เมื่อเราสื่อสารกับคนที่พูดภาษาฝรั่งเศสได้เข้าใจ ก็ถือว่าเราได้พัฒนาการพูดในระดับหนึ่งขณะเดียวกันทรงให้ลูกศิษย์ตระหนักถึงการใช้ไวยากรณ์ว่ามีความสำคัญต่อการสื่อสาร หากเราใช้ผิดก็จะทำให้ผู้รับสารเข้าใจความหมายผิดๆไปด้วย
พระเมตตาต่อลูกศิษย์มีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ครั้งหนึ่งเมื่อทรงทราบว่า ลูกศิษย์นักศึกษาปีสุดท้ายคนหนึ่งที่หนีเข้าป่าไปในช่วงหลังเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ได้ออกจากป่ากลับมาเรียนต่อดังเดิมทำให้ต้องจบล่าช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน มีรับสั่งให้มาเฝ้าที่ห้องทรงงาน ตึกคณะศิลปศาสตร์ ตรัสซักถามด้วยความห่วงใยว่า “เป็นอย่างไร ลืมภาษาฝรั่งเศสหมดแล้วหรือยัง มีปัญหาอะไรจะให้ฉันช่วยบ้างไหมขอให้บอกมา” ศิษย์ผู้นั้นตื้นตันใจจนถึงกับน้ำตาคลอ
พระอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยอื่นๆ
ระหว่างที่ทรงสอนและพัฒนาการเรียนการสอนวิชาภาษาฝรั่งเศสและภาษาต่างประเทศอื่นๆ ที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว ยังทรงรับเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาภาษาและวรรณคดีฝรั่งเศสแก่มหาวิทยาลัยอื่นๆ อีกหลายแห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ทรงเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาภาษาฝรั่งเศสเป็นครั้งสุดท้ายใน พ.ศ. ๒๕๒๗ แก่นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่
นักการศึกษา
นอกจากจะทรงมีความเป็นครูเต็มเปี่ยมในพระหฤทัยแล้ว สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ยังทรงเป็นนักการศึกษา ผู้รอบรู้ มีพระวิสัยทัศน์กว้างไกลและลึกซึ้ง ทรงวางแผนงานอย่างเป็นระบบในการพัฒนาการเรียนการสอนและมาตรฐานการศึกษาวิชาภาษาฝรังเศส คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ศึกษา ตลอดจนการศึกษาดนตรีคลาสสิกในประเทศไทย
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษาของเยาวชน เคยมีพระโอวาทว่า “ผู้ใหญ่ทุกฝ่ายทุกคนมีหน้าที่ผูกพันที่จะต้องดูแลให้การศึกษา อบรมเยาวชนอย่างถูกต้องเหมาะสม” ได้ทรงทำเป็นแบบอย่าง มีได้เคยทรงทอดพระธุระในด้านการศึกษาของเยาวชนเลย
ตั้งแต่ทรงงานที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ทรงเริ่มพัฒนาหลักสูตรวิชาภาษาฝรั่งเศสแบบบูรณาการ ทั้งทักษะทางภาษา วรรณคดีและอารยธรรม การแปล ตลอดจนการพัฒนาหลักสูตรภาษาฝรั่งเศสเฉพาะด้านให้แก่นักศึกษาสายวิทยาศาสตร์ รัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ในขณะเดียวกันทรงคำนึงถึงการพัฒนาครูสอนภาษาฝรั่งเศสในประเทศไทย ทั้งในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา เพื่อให้มาตรฐานการศึกษาวิชานี้ในประเทศไทยดีขึ้น ทรงร่วมก่อตั้งสมาคมครูภาษาฝรั่งเศสแห่งประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๒๐) และมูลนิธิส่งเสริมภาษาฝรั่งเศสและฝรั่งเศสศึกษา (พ.ศ. ๒๕๔๙)
นอกเหนือจากการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาฝรั่งเศสที่ทรงเริ่มต้นมานานแล้ว ยังได้ทรงช่วยส่งเสริมพัฒนาความรู้ความสามารถของเยาวชนไทยในด้านวิทยาศาสตร์ พระราชทานแนวพระดำริและทุนในการส่งเสริมโครงการโอลิมปิกวิชาการระหว่างประเทศตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๓๒ เพื่อยกมาตรฐานการศึกษาด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ของเยาวชนไทยให้ทัดเทียมนานาชาติ จนใน พ.ศ. ๒๕๕๒ ทรงสนับสนุนให้ก่อตั้งมูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการ และพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษาในพระอุปถัมภ์ฯ (สอวน.) มูลนิธินี้เป็นองค์กรอิสระที่มีความคล่องตัวสูงและสามารถสร้างเครือข่ายการดำเนินงานกับหน่วยงานภาครัฐในการพัฒนาครู นักเรียน ตำราเรียน ให้แก่สถาบันการศึกษาทั้งใน ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อยกมาตรฐานการศึกษาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในประเทศให้เท่ากับสากล
ด้วยความสนพระหฤทัยดนตรีคลาสสิก ประกอบกับการศึกษาดนตรีคลาสสิกในประเทศไทยยังไม่ทัดเทียมกับสากล จึงทรงตั้งทุนส่งเสริมดนตรีคลาสสิกพัฒนานักดนตรีไทยในการฝึกอบรม ไปแสดงหรือไปแข่งขันในประเทศและต่างประเทศตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๓ ทรงอุปถัมภ์วงดนตรีออร์เคสตราเยาวชน และทรงส่งเสริมการสร้างบุคลากรทางด้านดนตรีคลาสสิกด้วยการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเฉพาะทางด้านดนตรีคลาสสิก จนในที่สุดมีการก่อตั้งสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา ใน พ.ศ. ๒๕๕๕ ในการพัฒนาการดนตรีคลาสสิกในสังคมไทย มีพระดำริในการพัฒนาอย่างรอบด้าน ไม่เพียงแต่ผู้แสดง นักดนตรี นักประพันธ์เพลง ไวทยากร หากทรงส่งเสริมให้พัฒนาความรู้ความเข้าใจของผู้ฟังผู้ชมดนตรีคลาสสิกไปพร้อมกัน พระกรณียกิจที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้สะท้อนถึงการทรงเป็นนักการศึกษาที่ไฝพระหฤทัยในการพัฒนามาตรฐานการศึกษาของเยาวชนในด้านต่างๆ อย่างแท้จริง
การทรงงานด้านสาธารณประโยชน์เคียงข้างสมเด็จพระบรมราชชนนี
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์เป็นพระธิดาพระองค์เดียวในสมเด็จพระบรมราชชนนี และทรงใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก ทรงรับเป็นพระธุระในการส่วนพระองค์สมเด็จพระบรมราชชนนีให้ดำเนินลุล่วงไปด้วยความเรียบร้อยเสมอมา เมื่อทรงลาออกจากการเป็นอาจารย์ประจำที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ใน พ.ศ. ๒๕๑๙ นั้น เหตุผลหนึ่งที่ทรงบอกแก่ศาสตราจารย์ ดร. ป่วย อึ้งภากรณ์ อธิการบดีในเวลานั้น คือ “อยากจะอยู่ใกล้ชิดสมเด็จพระบรมราชชนนีให้มากกว่านี้”
ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๓ เป็นต้นมา สมเด็จพระบรมราชชนนีเสด็จไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรตามต่างจังหวัดและปฏิบัติพระราชกิจเรื่องแพทย์อาสาในจังหวัดชายแดนและท้องถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศรอบหนึ่งนานประมาณ ๑๕ เดือน พระธิดาก็คงจะมีพระประสงค์ที่จะได้ทรงอยู่ใกล้ชิดช่วยแบ่งเบาพระราชกิจของสมเด็จพระบรมราชชนนี


สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ได้ทรงตามเสด็จสมเด็จพระบรมราชชนนีไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรตามท้องถิ่น ทุรกันดารห่างไกล พร้อมกับคณะแพทย์อาสาที่ออกไปให้การรักษาผู้เจ็บป่วย ทรงช่วยแบ่งเบาพระราชภาระสมเด็จพระบรมราชชนนีอย่างมิได้เกรงความเหน็ดเหนื่อย แม้แต่ในเวลาที่ทรงเป็นอาจารย์ประจำที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ทรงตามเสด็จไปด้วย โดยเสด็จไปในวันสุดสัปดาห์ วันศุกร์ซึ่งเป็นวันที่ไ่มีวิชาทรงสอน และวันเสาร์ อาทิตย์ มิให้เสียงานของมหาวิทยาลัย สมเด็จพระบรมราชชนนีเคยตรัส กับผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่า “เวลาสมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ ตามเสด็จท่านไป”
บางครั้งสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์จะเสด็จล่วงหน้าไปที่โรงเรียนที่สมเด็จพระบรมราชชนนีจะเสด็จเยี่ยม ก่อนเวลาสัก ๒ ชั่วโมง เพื่อทรงทดลองสาธิตอุปกรณ์สื่อการสอนเสริมการอ่านและสื่อการสอนเสริมทักษะคณิตศาสตร์ที่กรรมการสมาคมสตรีอุดมศึกษาในพระอุปถัมภ์ฯ จัดทำขึ้นแก่เด็กนักเรียนในท้องถิ่นทุรกันดาร บางที่สมเด็จพระบรมราชชนนีเมื่อเสด็จถึงในเวลาบ่าย ก็ทรงแวะไปทอดพระเนตรการสอนของพระธิดาอย่างสนพระราชหฤทัย หลังจากนั้นสองพระองค์ทรงเยี่ยมและพระราชทานสิ่งของแก่นักเรียน ครูและคนชราในหมู่บ้าน แล้วทรงเยี่ยมราษฎรที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จ พระราชทานสิ่งของแก่ราษฎรและเด็กเล็ก มีพระราชปฏิสันถารและพระปฏิสันถาร กับราษฎรอย่างเป็นกันเอง ไม่ถือพระองค์ แล้วจึงเสด็จเยี่ยมหน่วยแพทย์อาสาที่ไปปฏิบัติงานรักษาพยาบาลผู้เจ็บป่วย หลังจากนั้นจึงพระราชทานของที่ระลึกแก่ข้าราชการท้องที่ที่มาปฏิบัติหน้าที่จัดการรับเสด็จ
ประสบการณ์การตามเสด็จเยี่ยมราษฎรในท้องถิ่นทุรกันดารตามจังหวัดต่างๆ ได้ทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ยาก ความขาดแคลน สิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ความพิการ ความเจ็บป่วยของประชาชน น้ำพระหฤทัยที่เปี่ยมพระเมตตา ประกอบกับทรงได้รับการอบรมแต่ทรงพระเยาวให้ทรง “ทำอะไรให้เมืองไทย” ย่อมทำให้มีพระศรัทราที่จะทรงบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เพื่อแบ่งเบาพระราชภาระของสมเด็จพระบรมราชชนนีและเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลเด็ก เยาวชน และประชาชนผู้ด้อยโอกาสและขัดสน ทั้งในส่วนภูมิภาคและส่วนกลาง
แนวพระดำริและประเภทขององค์กรสาธารณกุศลที่พระราชทานความช่วยเหลือ
แนวพระดำริในการทรงงานด้านสาธารณประโยชน์ มีลักษณะ “ช่วยราษฎร เสริมรัฐ” และ “ช่วยเขาเพื่อให้เขาช่วยตนเอง” มักจะทรงติตตามการดำเนินงานขององค์กรการกุศลที่ทรงช่วยเหลือสนับสนุนอย่างใกล้ชิด พระราชทานเงิน แนวพระดำริหรือพระวินิจฉัยบ้าง มีบางแห่งทรงก่อตั้ง ทรงร่วมก่อตั้ง ทรงเป็นประธาน หรือทรงเป็นประธานกิตติมศักดิ์ และทรงรับไว้ในพระอุปถัมภ์ทั้งสิ้น ๖๓ แห่ง องค์กร ที่พระราชทานความช่วยเหลือนั้นไม่ได้จำเพาะแต่องค์กรในพระอุปถัมภ์ ทรงช่วยเหลือตามที่มีผู้กราบทูลขอมา หรือทรงทราบปัญหาความขัดข้อง
จากทางใดทางหนึ่ง และมีพระกรุณาช่วยเหลือองค์กรที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการอันเป็นสาธารณประโยชน์ซึ่งพระราชทานความช่วยเหลือสนับสนุนแบ่งเป็นประเภทได้ ดังนี้
ด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชน เช่น มูลนิธิร่วมจิตต์น้อมเกล้าฯ เพื่อเยาวชนในพระบรมราชินูปถัมภ์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา คุณภาพชีวิตให้แก่เยาวชนทั่วประเทศ มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม ช่วยเหลือแม่และเด็กอ่อนในชุมชนแออัด มูลนิธิสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา มูลนิธิเพื่อโรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ เพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่เป็นโรคออทิสติก โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตต์อารีจังหวัดลำปาง สำหรับบุตรผู้ป่วยโรคเรื้อนและผู้ยากไร้
ด้านการแพทย์ การพยาบาล และสาธารณสุข เช่น มูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคไตทั้งด้านการรักษาด้วยเครื่องมือทันสมัยและให้ความรู้ด้านการป้องกันโรค มูลนิธิช่วยการสาธารณสุขชุมชน บริการแพทย์และสาธารณสุขเคลื่อนที่รักษาโรคในช่องปาก ฟัน และตา รวมทั้งโรคทั่วไปในชุมชน มูลนิธิเด็กโรคหัวใจ ช่วยเหลือเด็กที่เป็นโรคหัวใจพิการให้ได้รับการผ่าตัด
ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น มูลนิธิโลกสีเขียว ซึ่งมุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
ด้านศาสนาและศิลปวัฒนธรรม เช่น วัดทับไทร วัดธาตุทอง กองทุนพระตำหนักดาราภิรมย์ มูลนิธินาฏยศาลา หุ่นละครเล็ก วงซิมโฟนี่ออร์เคสตราแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วงดุริยางค์เยาวชนไทย
ด้านการศึกษา วิชาการ เช่น สมาคมครูภาษาฝรั่งเศสแห่งประเทศไทยฯ มูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการฯ มูลนิธิอานันทมหิดล
เมื่อสมเด็จพระบรมราชชนนีเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. ๒๕๓๘ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงสืบสานพระราชปณิธานในสมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงดูแล พัฒนา และต่อยอดงานด้านสาธารณประโยชน์ที่สมเด็จพระบรมราชชนนีได้ทรงบำเพ็ญไว้ เช่น มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) มูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และมูลนิธิถันยรักษ์ ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
ทุนการกุศลสมเด็จย่า และทุนการกุศล กว
ทุนการกุศลทั้งสองนี้เป็นทุนหลักที่ทรงใช้เพื่อการสาธารณประโยชน์ต่างๆ ทุนการกุศลสมเด็จย่า จัดตั้งขึ้นในวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๘ (เป็นกองทุนลำดับที่ ๖ ตามประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยการยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม มีคณะกรรมการบริหารจัดการกองทุน สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเป็นประธานกรรมการ และสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเป็นรองประธานกรรมการ เงินในทุนการกุศลสมเด็จย่า ส่วนหนึ่งเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ส่วนหนึ่งเป็นเงินที่ผู้มีจิตศรัทธาทูลเกล้าฯ ถวายโดยเสด็จพระราชกุศล วัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและทำประโยชนให้กับสาธารณชนในด้านการแพทย์ พยาบาล และสาธารณสุข ด้านศาสนาและศิลปวัฒนธรรม ด้านการศึกษา วิชาการ การกีฬา ตลอดจนด้านสาธารณประโยชน์ทั่วไป
หลังจากที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จสวรรคตในวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พระธิดา ทรงบริหารทุนการกุศลสมเด็จย่าสืบต่อมาตามพระราชปณิธาน
ต่อมามีพระดำริให้ตั้งทุนการกุศล กว เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณชนในด้านที่แตกต่างออกไป ทุนการกุศล กว จดทะเบียนในวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ (เป็นกองทุนลำดับที่ ๕๖๔ ตามประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยการยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทรงเป็นประธานกรรมการ มีท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม เป็นรองประธานกรรมการ
แต่ละปี คณะกรรมการบริหารทุนการกุศลสมเด็จย่า และทุนการกุศล กว จะจัดสรรเงินดอกผลของกองทุนให้แก่หน่วยงานและองค์กรต่างๆ เพื่อนำไปใช้จ่ายทำประโยชน์ต่อสาธารณชนตามวัตถุประสงค์ของแต่ละหน่วยงาน ดังพระราชปณิธานและพระปณิธานของทั้งสองพระองค์
การทรงงานด้านศิลปวัฒนธรรม
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงงานด้านศิลปวัฒนธรรมทั้งในฐานะผู้สร้างผลงานด้านวรรณกรรม และการทรง ส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมด้านศิลปวัฒนธรรมหลากหลายด้านอย่างต่อเนื่อง
ทรงเป็นนักเขียน นักแปล และบรรณาธิการ
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระปรีชาสามารถด้านการประพันธ์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ – ๒๕๔๗ มีงานพระนิพนธ์ประเภทต่างๆ พิมพ์เผยแพร่แก่สาธารณชน ได้แก่ พระนิพนธ์ด้านประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเจ้านายในพระบรมราชวงศ์จักรี ซึ่งใช้หลักฐานข้อมูล ส่วนบุคคลที่เข้าถึงได้ยาก และมีคุณค่ายิ่งทางประวัติศาสตร์ร่วมสมัย พระนิพนธ์และวีดิทัศน์สารคดีบันทึกการเสด็จท่องเที่ยวต่างแดน พระนิพนธ์แปลคติพจน์และความคิดของนักปรัชญาและนักเขียนผู้มีชื่อเสียงชาวตะวันตก พระนิพนธ์แปลเอกสารประวัติศาสตร์ (Le Couronnement Espagnol) และพระนิพนธ์บทความการใช้ภาษาฝรั่งเศสในวารสารสมาคมครูภาษาฝรั่งเศสแห่งประเทศไทย ๆ ซึ่งทรงเป็นที่ปรึกษากองบรรณาธิการพระนิพนธ์เหล่านี้ล้วนมีส่วนเสริมสร้างความรู้ ประสบการณ์ และปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมแก่ผู้อ่านชาวไทย
ทรงสนับสนุนกิจกรรมด้านวัฒนธรรม
ทรงสนพระหฤทัยด้านวัฒนธรรม โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และทรงส่งเสริมความก้าวหน้าทางวิชาการในด้านต่างๆ เหล่านี้เสด็จไปทรงเปิดงานการสัมมนาและนิทรรศการทางวิชาการทั้งในระดับชาติและนานาชาติ และทรงร่วมฟังหรือทอดพระเนตรด้วยความสนพระหฤทัย มีพระประสงค์ให้เกิดความตื่นตัวทางวิชาการ การค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ความรู้ที่ถูกต้องตามหลักวิชา เช่นเรื่องหลักศิลาจารึกสุโขทัย หลักที่ ๑ ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม ทรงติดตามการอภิปรายและเสด็จไปทรงเป็นประธานเปิดงานอภิปรายเรื่องนี้ที่สมาคมโบราณคดีแห่งประเทศไทยจัดขึ้น เพื่อให้ความกระจ่างชัดแก่ประชาชน ทรงเห็นว่าเมื่อมีข้อเสนอใหม่ที่ขัดแย้งกับความรู้หรือความเชื่อเดิม ควรที่นักวิชาการจะศึกษาหาองค์ความรู้ใหม่ โดยใช้วิธีการที่เหมาะสมมาช่วยในการพิสูจน์ ไม่ว่าวิธีการทางวิทยาศาสตร์ โบราณคดีประวัติศาสตร์ หรือภาษาศาสตร์
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์โปรดไปทอดพระเนตรพิพิธภัณฑ์โบราณสถาน และแหล่งโบราณคดีสำคัญตามจังหวัดต่างๆ บางครั้งพระราชทานคำแนะนำ และแนวพระดำริเรื่องการอนุรักษ์ฟื้นฟูโบราณสถานโบราณวัตถุให้รักษาความเป็นของแท้ ดั้งเดิม และให้ความรู้แก่ชุมชน เพื่อจะได้ตระหนักถึงคุณค่าและมีความภูมิใจในท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้ถนอมและรักษามรดกที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้
ทรงอุปถัมภ์หน่วยงานด้านวัฒนธรรม เช่น พระราชทานความช่วยเหลือแก่คณะหุ่นละครเล็ก ที่สืบทอดศิลปะการแสดงหุ่นของไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ ให้คงอยู่ ทรงสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์
ทรงอุปถัมภ์บำรุงและเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ทรงทำนุบำรุงและสืบทอดพระพุทธศาสนา ทรงบำเพ็ญพระกุศล ทำนุบำรุงพระอาราม ทรงรับวัดทับไทร จังหวัดจันทบุรีและวัดธาตุทอง กรุงเทพมหานคร ไว้ในพระอุปถัมภ์ ทรงสนับสนุนการเผยแผ่ความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในวงกว้าง ทรงรับเป็นประธานกิตติมศักดิ์ในการดำเนินการจัดพิมพ์ ประดิษฐาน และการเสด็จจาริกพระราชทานพระไตรปิฎกบาฬี ฉบับมหาสังคายนาสากลนานาชาติ พ.ศ. ๒๕๐๐ อักษรโรมัน ไปยังสถาบันสำคัญในนานาประเทศ และยังพระราชทานพระอนุญาตให้จัดทำภาพยนตร์พุทธประวัติในรูปแบบ Animation เพื่อถวายพระกุศลในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา ใน พ.ศ. ๒๕๔๖ เพื่อให้เยาวชนและผู้สนใจเข้าใจได้ง่าย ภาพยนตร์นี้ใช้เวลาสร้างถึง ๘ ปี และเริ่มเผยแพร่ใน พ.ศ. ๒๕๕๔
พระบุคลิกภาพ
ในพระนิพนธ์คำนำใน เจ้านายเล็กๆ-ยุวกษัตริย์ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงวิเคราะห์ว่า ส่วนประกอบสำคัญของบุคลิกภาพและจริยาวัตรของคนทั่วไปนั้นขึ้นกับ ๑.) เซลล์สืบพันธุ์ (genes) ซึ่งได้มาจากบิดามารดา ๒.) สิ่งแวดล้อมหรือสังคม ๓.) การอบรมและการศึกษาทั้งในครอบครัวและสถาบันการศึกษาทุกระดับ ยุพร แสงทักษิณ ได้นำหลักการดังกล่าวนี้มาใช้ในการพิเคราะห์พระบุคลิกภาพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ไว้ในหนังสือกัลยาณิวัฒนานุสาวรีย์ ได้อย่างน่าสนใจยิ่ง ในงานวิจัยนี้ก็จะนำหลักการนี้เป็นเครื่องมือการวิเคราะห์เช่นกัน
เมื่อทรงพระเยาว์ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงมีโครงสร้างพระวรกายไม่สู้สมบูรณ์เช่นเดียวกับสมเด็จพระบรมราชชนก กระดูกสันหลังของพระองค์คดเล็กน้อยตามพันธุกรรม แต่สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงส่งให้ไปรักษาพระองค์และดัดพระองค์กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแก้ปัญหานี้ไปได้ ทำให้เมื่อเจริญพระชันษาขึ้น ทรงมีพระวรกายที่สง่างาม ส่วนดีของเซลล์สืบพันธุ์ที่ทรงได้รับมา คือพระสติปัญญาเฉลียวฉลาดของทั้งสมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนี
ในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่นซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จะหล่อหลอมอุปนิสัยบุคลิกภาพนั้น สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงอยู่ใกล้ชิดกับสมเด็จพระบรมราชชนนีและสมเด็จพระอนุชาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ การอบรมบ่มเพาะของสมเด็จพระบรมราชชนนีย่อมมีผลต่อการสร้างพระบุคลิกภาพไม่ย่อหย่อนไปกว่าอิทธิพลจากสภาพสังคมแวดล้อมและสถาบันการศึกษา
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รับสั่งเล่าว่า สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงเลี้ยงพระโอรสธิดามาอย่างฝรั่ง “ตอนแรกๆ เราโตเมืองนอก และถูกเลี้ยงมาอย่างฝรั่งโดยมากเจอกันก็กอดกัน จูบกันแบบฝรั่ง และเราสนิทกันมาก” เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) ซึ่งเป็นผู้แทนคณะรัฐบาลไปเฝ้าฯ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ได้สังเกตว่า การเลี้ยงดูพระโอรสธิดานั้น สมเด็จพระบรมราชชนนี “เลี้ยงดูอย่างฝรั่ง ให้มีความรู้กว้างขวาง มี democratic ideas ไม่ถือองค์เป็นเจ้า การเรียนก็ดี การเล่นในโรงเรียนเวลาเลิกเรียนแล้วก็ดีคละปะปนกับเด็กอื่นทั่วไป” คำว่า “เลี้ยงมาอย่างฝรั่ง หรือเลี้ยงดูอย่างฝรั่ง” นั้น กล่าวคือ ไม่ได้ทรงให้หมอบกราบ ทรงส่งเสริมให้คิดเอง ตัดสินใจเอง ตามเหตุตามผล มีระเบียวินัย รู้จักบังคับใจตนเอง ทำอะไรเป็นเวลา ไม่ว่าสวย บรรทม ทรงเล่น หรือทรงศึกษา ทรงทำการบ้าน การได้ของขวัญก็ต้องเป็นวาระ มีโอกาสอันควร
สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงอบรรมพระโอรสธิดาโดยวิธีอธิบายถึงเหตุถึงผล ให้เห็นความผิดความถูก แต่ไม่ง่ายเสมอไป สมเด็จพระบรมราชชนนีมีลายพระหัตถ์ถึงสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ “..หม่อมฉันรู้สึกว่าตัวเคราะห์ดีมากที่มีลูก ที่ฉลาด แต่เด็กฉลาดเลี้ยงยากมากกว่าเด็กโง่ เพราะต้องพูดกันมาก และต้องอธิบายให้เห็นจริงกันทุกอย่างถึงจะเชื่อ”
ที่โรงเรียนที่สวิตเซอร์แลนด์ ไม่ได้ทรงใช้พระยศเจ้านายเลย แต่ครูและพระสหายร่วมชั้นเรียนบางคนก็คงจะทราบว่าทรงเป็นเจ้าหญิงจากเมืองไทย ทรงเคยเล่าว่า เมื่อพระชันษา ๑๒ ปี ครูถามว่า จะสร้างโลกขึ้นมาใหม่ จะให้เป็นอย่างไร ทรงตอบครูว่า ให้คนเท่ากันหมด มีเพื่อนบางคนหัวเราะ แสดงว่าทราบว่าทรงเป็นเจ้าหญิง แต่ “เขาก็ทรีตเราเหมือนเพื่อน”
สภาพแวดล้อมสภาพสังคมในดินแดนสวิตเชอร์แลนด์ซึ่งเป็นสาธารณรัฐ มีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย ที่ให้ประชาชน มีเสรีภาพในขอบเขตที่จะไม่ล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น มีส่วนเอื้ออำนวยในการสร้างบรรยากาศแห่งความเป็นประชาธิปไตยห้อมล้อมพระโอรสพระชิดาได้ การดำรงพระชนม์ชีพที่พระตำหนักวิลล่าวัฒนาเป็นไปอย่างไม่มีพิธีรีตอง เวลาเสวยก็ช่วยกันเองบ้าง “อย่างชาวบ้านธรรมดา” ไม่มีคนมาห้อมล้อมเอาอกเอาใจ
การเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๘๒ – ๒๔๘๘) ในทวีปยุโรป มีผลต่อสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ในด้านการดำรงพระชนม์ชีพ แม้สวิตเซอร์แลนด์จะเป็นกลาง ไม่ได้เข้าร่วมกับฝ่ายใด แต่กระนั้นก็ได้รับผลกระทบจากการสงครามอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ระหว่างสงคราม เมืองโลซานน์ถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดผิด ๒ – ๓ ครั้ง ต้องมีการพรางไฟ เครื่องอุปโภคบริโภคก็ขาดแคลนจนต้องมีการปั่นส่วนอาหารและของใช้ ทางการกำหนดว่า ครอบครัวหนึ่งครได้ปันส่วนอาหารและของใช้เท่าใด เช่น ไข่ได้เดือนละ๓ ฟองต่อคน เนื้อวัวและน้ำตาลกลายเป็นของหายาก ค่าครองชีพก็สูงขึ้นมาก
ทรงเล่าว่า “ตอนสงคราม มีความลำบากเหมือนคนในประเทศนั้น” ทรงรับบัตรปันส่วนเช่นเดียวกับครอบครัวสวิสอื่นๆ ทรงจำได้ว่า อาหาร ไข่ เนย นม หาได้น้อย ผลไม้ต่างๆ ขาดแคลนมาก เช่น ส้ม กล้วย จะมีมากก็แต่แอปเปิ้ล ต้องเสวยแอปเปิ้ลทุกวัน จนกระทั่ง “…หลังสงครามเลิกสัก ๑๐ ปี ข้าพเจ้ารับประทานแอปเปิ้ลไม่ได้อีกเลย”
ปัญหาอีกประการในช่วงสงครามคือปัญหาทางการเงิน ค่าเงินบาทลดลงมาก จากเดิมที่เคยแลก ๑ บาทได้ ๒ แฟรงค์ กลับเป็น ๒ บาท ได้ ๑ แฟรงค์ แต่เงินที่พระคลังข้างที่ส่งไปถวายยังเป็นจำนวนเท่าเดิม อีกซ้ำยังมีปัญหาความล่าช้าในการส่งเงินอันเนื่องจากผลกระทบของสงคราม ทำให้สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงเป็นกังวลมาก และต้องทรงระมัดระวังมากในการใช้จ่าย พระธิดาทรงทราบดีถึงความกังวลพระทัยนี้ พระองค์เองก็ทรงเสกสมรสและมีพระธิดาแล้วในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทรงเล่าว่า “ตอนนั้นสงคราม ฉันก็ไม่มีรายได้อะไรแม่ก็ให้เป็นเงินเดือน ให้น้อย คำนวณดูแล้วพันกว่าบาทเท่านั้นต่อเดือน” แต่ความลำบากก็ทำให้ต้องทรงมีระเบียบ ทรงวางแผนการใช้จ่ายและทรงรู้ค่าของเงิน
การอบรมดูแลจากสมเด็จพระบรมราชชนนี ประสบการณ์ชีวิตในวังสระปทุมในเวลาทรงพระเยาว์ การทรงศึกษาในสถาบันการศึกษาแบบตะวันตก ประกอบกับการดำรงพระชนม์ชีพในสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมยุโรปอยู่นับสิบปี่ได้หล่อหลอมให้มีพระบุคลิกภาพ พระอุปนิสัย ที่ผสานความเป็นตะวันออกและตะวันตก
ในหนังสือ แสงหนึ่ง ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม ได้สรุปไว้ว่า “ชีวิตในช่วงทรงพระเยาว์ส่วนใหญ่ เติบโตท่ามกลางชาวต่างชาติต่างภาษา ดังนั้นวัฒนธรรมจากยุโรปจึงซึมซับและผสมผสานเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ แต่ยังดำรงความเป็นไทยได้อย่างครบถ้วนและกลมกลืน”
ทรงดำรงพระชนม์ชีพเรียบง่าย
เมื่อเสด็จกลับมาประทับที่เมืองไทย ทรงเป็นเจ้านายที่มีพระอิสริยยศพระอิสริยศักดิ์สูง เพราะเป็นพระโสทรเชษฐภคินีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถึง ๒ พระองค์ แต่ก็ทรงดำเนินพระชนม์ชีพอย่างเรียบง่าย เมื่อยังไม่เจริญพระชันษาสูงวัย ทรงขับรถยนต์ด้วยพระองค์เองในระยะแรกๆ ไม่มีรถยนต์ตำรวจนำ ต่อมาเมื่อทางการจัดให้มีรถตำรวจนำ ๑ คัน หากเมื่อการจราจรในกรุงเทพฯ ไม่ติดขัดนัก ทรงให้รถยนต์ตำรวจที่ควรขับนำรถพระที่นั่งนั้นขับตามหลัง รับสั่งเล่าว่า “ก่อนนี้ไม่ติดก็ไปเป็นประชาชนธรรมดา” เวลาเสด็จไปงาน หรือมีเหตุฉุกเฉินจึงทรงให้รถตำรวจนำ เวลาเสด็จไปทรงสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทรงขึ้นลิฟต์เดียวกับที่นักศึกษาใช้ ไม่มีการกันลิฟต์ให้ทรงใช้เป็นพิเศษ ยังทรงรำคาญว่า นักศึกษาในเวลานั้นใช้ลิฟต์ไม่เป็น “ไม่ทราบกันว่าตามมารยาท ควรให้ผู้ออกจากลิฟต์ก่อนจะเป็นใครก็ตาม ส่วนใหญ่พยายามเข้าไปโดยไม่ยอมให้ผู้ที่อยู่ในลิฟต์ออกมาเสียก่อน”
ในความเรียบง่ายของพระองค์นั้น มีได้ละเลยระเบียบราชประเพณีของไทย หากทรงมีน้ำพระทัยเปี่ยมเมตตาและทรงเข้าพระทัยความรู้สึกของบุคคลอื่น ทรงทราบดีว่า อาจารย์ผู้ร่วมงานและลูกศิษย์นักศึกษามีความกังวลเรื่องการใช้ราชาศัพท์ มีรับสั่งกับอาจารย์ผู้ร่วมงาน ว่าการใช้ราชาศัพท์นั้นในหมู่ครูอาจารย์กให้ใช้อย่างถูกต้องสมกับความเป็นครูอาจารย์ สำหรับนักศึกษาแล้วไม่ทรงถือสา แต่หากลูกศิษย์เติบโตเป็นผู้ใหญ่และออกไปประกอบอาชีพแล้ว ทรงเตือนให้ใช้ราชาศัพท์ให้ถูกต้องตามประเพณีสมกับความเป็นคนไทย
ทรงชื่อตรง ทรงยึดมั่นในความจริง ความมีเหตุมีผลและความถูกต้องแม่นยำ
พระอุปนิสัยหนึ่งที่เด่นชัด คือ ความชื่อตรง “นับถือความจริง มีสัจจะ ไม่หลอกใคร และไม่หลอกตัวเอง” ยุพร แสงทักษิณได้ยกตัวอย่างจากที่ทรงเล่าไว้ในพระนิพนธ์เรื่อง พระราชธิดาในรัชกาลที่ ๕ สรุปได้ว่า มีผู้เขียนพระประวัติเจ้านายพระองค์หนึ่งมาถวายให้สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงลงพระนามเพื่อพิมพ์เป็นพระประวัตินำในหนังสือ แต่ทรงปฏิเสธ “เพราะไม่สามารถลงนามในสิ่งที่ไม่ได้เขียนเอง” ถ้าลงพระนามในเรื่องที่ไม่ได้ทรงเป็นผู้นิพนธ์ก็จะเป็นเรื่องที่ผิดความจริง เป็นการหลอกลวง ยุพรตั้งข้อสังเกตว่าพระดำรินี้ได้ทรงยึดถือเป็นหลักปฏิบัติมาโดยตลอด ไม่ว่าจะทรงพระนิพนธ์เรื่องใด ก็จะทรงชี้แจงว่าส่วนใดเป็นผลงานของพระองค์ และส่วนใดเป็นผลงานของผู้ร่วมงาน
เรื่องความถูกต้องแม่นยำของข้อมูลเป็นสิ่งที่ทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งนี้ส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากการที่ทรงเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ทางวิชาเคมี ที่ความถูกต้องแม่นยำเป็นสิ่งจำเป็นและต้องคำนึงถึงให้มาก เพื่อมิให้เกิดความเสียหายได้ ในขณะเดียวกันก็น่าจะเป็นพระอุปนิสัย ที่ได้รับการอบรมมาแต่ทรงพระเยาวด้วย ถ้ามีข้อมูลที่ผิดพลาดหรือไม่กระจ่างชัด จะทรงอธิบายและแก้ไขให้ถูกต้อง เช่น พระราชประวัติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีการเขียนกันว่า หลังจากทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์แล้ว ทรงเป็นหม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๖๓ ซึ่งไม่ถูกต้อง สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงชี้แจงไว้อย่างละเอียดในพระนิพนธ์ เจ้านายเล็กๆ-ยุวกษัตริย์ ว่า ในเวลานั้นยังไม่ได้พระราชทานนามสกุลแก่พระราชโอรสของรัชกาลที่ ๕ ราชสกุลมหิดลนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๒ สามเดือนก่อนที่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์จะสิ้นพระชนม์ ดังนั้นก่อน พ.ศ. ๒๔๗๒ สมเด็จพระบรมราชชนนีจึงเป็นหม่อมสังวาลย์ในสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ หลังเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๒ จึงทรงเป็นหม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา
ความระมัดระวัง ความถี่ถ้วนแม่นยำเรื่องการใช้หลักฐานข้อมูล ส่งเสริมให้งานพระนิพนธ์ของพระองค์ไม่ว่าในเรื่องที่เกี่ยวกับพระราชวงศ์ หรือสารคดีสัญจรต่างประเทศ ตลอดจนวีดิทัศน์ข่าวการเสด็จเยือนประเทศต่างๆ ที่ทรงให้จัดทำ เป็นงานที่ทรงคุณค่าและมีความน่าเชื่อถือ
ในหนังสือ คือรุ้งงาม ที่ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม พระธิดา ให้จัดทำขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๕๐ นั้น กล่าวถึงพระบุคลิกภาพไว้ว่า
ทรงศึกษาอย่างถ่องแท้ ใฝ่รู้อย่างลึกซึ้ง เข้าถึงแก่นแท้ในศาสตร์และศิลป์หลายแขนง ค้นคว้าวิเคราะห์อย่างมีตรรกะแม่นยำไม่คลาดเคลื่อน…โปรดการอ่านหนังสือค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา ห้องทรงงานที่วังเลอดิส เต็มไปด้วยกองหนังสือจนไม่มีที่ว่างให้คนนั่งประชุมได้…
ทรงตรงต่อเวลา
พระอุปนิสัยประการหนึ่งที่โดดเด่น คือ ความตรงต่อเวลา ทรงเตือนเยาวชนไทยว่า “เรื่องเวลานี่สำคัญมาก เมื่อพวกเธอเป็นผู้ใหญ่ไป ต้องมีวินัย ตรงต่อเวลา” พระองค์เองทรงเป็นแบบอย่างแห่งความตรงต่อเวลา พันตำรวจเอกสุรชัย แบบประเสริฐ นักบินกองบินตำรวจหนึ่งในนักบินผู้ขับเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมากว่า ๑๐ ปี ชื่นชมในเรื่องความตรงต่อเวลาของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์อย่างยิ่ง “กว่า ๒๕๐ ภารกิจ (ในหนึ่งภารกิจมีหลายเที่ยวบิน) ที่ผ่านมา พระองค์ไม่เคยเสด็จพระราชดำเนินถึงล่าช้ากว่ากำหนดแม้แต่ครั้งเดียว” ในการเสด็จไปงานที่ทรงเป็นประธาน ถ้าเสด็จถึงที่หมายก่อนเวลาที่กำหนด ทรงให้รถพระที่นั่งจอดรอจนกว่าจะถึงเวลา ทั้งนี้คงจะเพื่อไม่ให้เจ้าภาพผู้จัดงานและแขกที่มางานต้องเร่งรีบจนเกินไป
ทรงเอื้ออารี ช่วยเหลือผู้อื่น
ทรงเอื้ออารี ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นเป็นนิตย์ เมื่อทรงทราบความเดือดร้อนขัดข้องของผู้ใด หน่วยงานใด ไม่ทรงนิ่งเฉย พระราชทานความช่วยเหลือตามความเหมาะสม เท่าที่จะทรงทำได้พระอุปนิสัยนี้สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงปลูกฝังมาแต่ทรงพระเยาว์ พระเมตตาเอื้อเฟื้อ ต่อลูกศิษย์ ต่ออาจารย์ผู้ร่วมงาน ผู้ที่ทรงรู้จักมักคุ้น มีผู้บันทึกไว้ในงานเขียนต่างๆ หลายเล่มแล้ว เรื่องหนึ่งที่ไม่ใคร่มีผู้ใดทราบ คือ น้ำพระทัยละเอียดอ่อนที่ทรงแสดงความกตัญญูแต่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งโดยศักดิ์แล้วทรงเป็นสมเด็จพระอัยยิกาของพระองค์ ด้วยทรงเป็นพระเชษฐภคินีในสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทุกวาระที่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จไปทรงบำเพ็ญพระกุศลอุทิศถวายพระราชบุพการี ณ อนุสรณ์สถานรังชีวัฒนา สุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม จะทรงพระดำเนินไปบำเพ็ญพระกุศลถวายสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ ณ สุนันทานุสาวรีย์ ซึ่งอยู่ข้างๆ กัน ด้วยทรงพระดำริว่า “สมเด็จพระองค์นั้น ไม่ทรงมีพระทายาททำบุญอุทิศถวาย”
พระบรมวงศ์อีกพระองค์หนึ่งที่ทรงบำเพ็ญพระกุศลถวายในคราเดียวกัน คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวาปีบุษบากรพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีเจ้าจอมมารดาพร้อมเป็นมารดา หลังจากที่เจ้าจอมมารดาพร้อมถึงแก่อนิจกรรมสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี่ พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทรงอภิบาลพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวาปีบุษบากรมาแต่ทรงพระเยาว์จึงทรงเป็นพระประยุรญาติที่ทรงใกล้ชิดสนิทยิ่ง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์วาปีนุษบากรก็ไม่ทรงมีพระทายาทเช่นกัน พระสรีรางคารบรรจุไว้ ณ อนุสาวรีย์เจ้าจอมมารดาพร้อม สุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
ทรงก้าวทันโลก
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเป็นเจ้านายที่ทรงทันสมัย ทรงเป็นสตรีไทยรุ่นแรกที่ขับเครื่องบินได้ทรงสำเร็จหลักสูตรการบินของสโมสรการบินพลเรือน กองทัพอากาศ เมื่อเสด็จไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรนั้น ในระหว่างประทับในเฮลิคอปเตอร์จะทอดพระเนตรแผนที่การบินอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทรงติดตามเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์เพื่อการทรงงาน เช่น ทรงสนับสนุนการใช้เครื่องมือโสดทัศอุปกรณ์ที่ทันสมัยในการเรียนการสอนภาษา ใช้วิทยุในการสอนภาษาแก่บุคคลทั่วไป เมื่อทรงสอนหนังสือก็ทรงใช้เครื่องพิมพ์ดีดพิมพ์เอกสารการสอนและข้อสอบด้วยพระองค์เอง เมื่อเทคโนโลยีพัฒนามาเป็นคอมพิวเตอร์ก็ทรงเรียนรู้การใช้คอมพิวเตอร์ในการพิมพ์พระนิพนธ์มาถึงยุคดิจิทัลก็ทรงหัดใช้กล้องแบบดิจิทัล โทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟน และกล้องจากโทรศัพท์มือถือ ทรงใช้อีเมล (e-mail) ในการติดต่อสื่อสาร กับผู้ทรงคุ้นเคย
ทรงงานอย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนชัดเจน
ในการทรงงานต่างๆ ทรงใคร่ครวญคิด ไตร่ตรอง พิจารณา ทรงงานอย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนชัดเจน ทรงสังเกต ทดลอง วิเคราะห์สังเคราะห์ เพื่อหาหนทางให้บรรลุเป้าหมาย ประสบความสำเร็จให้จงได้ ตัวอย่าง เช่น
เมื่อทรงเป็นหัวหน้าสาขาวิชาภาษาฝรั่งเศส คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัญหาหนึ่งที่เกิดเป็นประจำในการจัดการเรียนการสอนคือ นักศึกษามีความรู้และความสามารถทางภาษาไม่เท่ากัน โดยเฉพาะผู้ที่เรียนในชั้นปีที่ ๑ เด็กอ่อนจะเรียนตามไม่ทัน ส่วนเด็กเก่ง ก็จะเบื่อหน่าย จึงทรงพิจารณาให้จัดทำแบบทดสอบจัดระดับความรู้ภาษาฝรั่งเศสของนักศึกษา เพื่อแบ่งนักศึกษาเป็นกลุ่มๆ ตามความสามารถในการนี้ ทรงขอความร่วมมือจากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดทำแบบทดสอบจากวิทยาลัยวิชาการศึกษา ประสานมิตร มาช่วยกับคณาจารย์ในสาขาวิชาภาษาฝรั่งเศส จัดทำแบบทดสอบจัดระดับความรู้ภาษาฝรั่งเศสสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ ๑ ขึ้นเป็นครั้งแรก ใน พ.ศ. ๒๕๑๖ ทรงให้เชิญผู้เชี่ยวชาญชาวฝรั่งเศสมาช่วยตรวจความถูกต้องและความชัดเจนในการใช้ภาษา ทรงให้นำแบบทดสอบนี้ไปทดลองใช้กับนักเรียนในระดับ มัธยมศึกษาในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดก่อน เพื่อนำมาปรับปรุงให้มีความเที่ยง (reliability) และความตรง (validity) การจัดทำแบบทดสอบ นี้ในขณะนั้นเป็นแนวคิดที่ยังไม่เคยมีในวงการเรียนการสอนภาษาฝรั่งเศสในประเทศไทยมาก่อนเลย
โครงการโอลิมปิกวิชาการระหว่างประเทศเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงการทรงงานอย่างมีระบบ ทรงสนับสนุนโครงการนี้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๒ เพื่อส่งผู้แทนนักเรียนไทยไปแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ ด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ กับนานาชาติ ทรงช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องนาน ๑๐ ปี ทรงติดตามผลการแข่งขันอย่างใกล้ชิด ทรงอ่านรายงานของโครงการฯ ทรงปรึกษากับคณาจารย์ผู้มีความเชียวชาญ เพื่อวิเคราะห์ถึงอุปสรรคในการเรียนการสอนด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในไทย และหาหนทางแก้ไขและพัฒนา จนในที่สุดทรงร่วมก่อตั้งมูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษาในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (สอวน.) ใน พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางประสานงานสร้างเครือข่ายการจัดอบรมครูวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ให้แกโรงเรียนต่างๆ การจัดศูนย์อบรมนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์เพื่อคัดเลือกเป็นตัวแทน นักเรียนไทยไปแข่งขันกับนานาชาติ การทำตำราที่มีมาตรฐานทางด้านวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ ซึ่งล้วนมีส่วนส่งเสริมการพัฒนาครูและนักเรียนทางด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษาในประเทศไทยให้ก้าวหน้าขึ้น ดังสถิติผู้แทนนักเรียนไทยที่ไปแข่งขันโอลิมปิกวิชาการหลัง พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้รับเหรียญรางวัลเพิ่มมากขึ้น ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ และ พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้เหรียญเงินและทองเกือบ ๙๐ เปอร์เซ็นต์
วาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเข้ารับการรักษาพระองค์ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ ต่อมาวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ว่า สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระอาการผิดปกติเกี่ยวกับพระนาภี คณะแพทย์ได้ถวายตรวจพระวรกายและเอกซเรย์คอมพิวเตอร์พบมะเร็ง และมีพระวรกาย ด้านขวาอ่อนแรง เนื้อพระสมองด้านซ้ายตายเป็นวงกว้างจากเส้นเลือดพระสมองอุดตัน นับจากนั้นพระอาการอยู่ในภาวะทรงและทรุดสลับกันสำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์เป็นระยะๆ คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาพระอาการอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ แต่พระอาการประชวรทรุดลงเป็นลำดับ จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ เมื่อวันพุธที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑ เวลา ๐๒.๕๔ น. พระชันษา ๘๔ ปี ๗ เดือน ๒๙ วัน

ทรงเป็นสตรีไทยรุ่นแรกที่ขับเครื่องบินได้
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงแสดงพระราชกตัญญุตาธรรมที่มีต่อสมเด็จพระโสทรเชษฐภคินีอันสนิทแต่พระองค์เดียวที่ทรงได้ร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาแต่ทรงพระเยาว์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระราชทานพระศพ และการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพอย่างสมพระเกียรติสูงสุดตามโบราณราชประเพณี ต่อมาวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานจัดเศวตฉัตร ๗ ชั้น กางกั้นพระโกศพระราชทานเป็นเครื่องเฉลิมพระเกียรติยศให้ปรากฏสืบไป
หลังการสิ้นพระชนม์ ประชาชนจากทุกสารทิศต่างเดินทางมาร่วมพิธีเคารพพระศพและลงนามถวายความอาลัยอย่างไม่ขาดสายเมื่องานบำเพ็ญพระราชกุศลพระราชทานเพลิงพระศพในส่วนของพิธีหลวงสิ้นสุดลง พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้หน่วยงานรัฐและเอกชนร่วมเป็นเจ้าภาพงานพระศพ มีผู้แจ้งความจำนงมากกว่า ๕๐๐ ราย ทางสำนักพระราชวังจัดให้เป็นเจ้าภาพได้วันละ ๒ คณะ ต่อเนื่องกันทุกวัน จนถึงวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ประชาชนร่วมกันบริจาคเงินทำบุญในงานบำเพ็ญพระราชกุศลนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น ๑๖๘,๘๖๐,๕๔๔.๕๗ บาท ซึ่งทุนการกุศล กว ได้จัดสรรเงินเพื่อนำไปใช้ในการทำประโยชน์ให้แก่สาธารณชนในด้านการสาธารณสุข การศาสนาและการศึกษา สาขาละห้าสิบล้านบาท ส่วนเงินที่เหลือ ทุนการกุศล กว ได้เก็บรักษาไว้เพื่อใช้ในกิจการสาธารณประโยชน์ที่เหมาะสมต่อไป
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ระหว่างวันที่ ๑๔ – ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑ กล่าวคือ วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน บำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน เชิญพระศพสู่พระเมรุเพื่อพระราชทานเพลิง วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน บำเพ็ญพระราชกุศลเก็บพระอัฐิ วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน บำเพ็ญพระราชกุศลพระอัฐิ วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน เชิญพระอัฐิขึ้นประดิษฐาน ณ พระวิมาน พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน บรรจุพระสรีรางคาร ณ อนุสรณ์สถานรังชีวัฒนา วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ซึ่งเป็นสถานที่บรรจุพระสรีรางคารของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าและพระราชโอรสธิดา รวมถึงสมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนี
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเป็นเจ้านายพระชันษายืน เรียกได้ว่าทรงดำรงพระชนม์ชีพมาถึงสี่แผ่นดินประสูติในสมัยที่ประเทศไทยยังอยู่ในระบอบราชาธิปไตย และทรงเจริญพระชันษาในสมัยที่ประเทศไทยเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในฐานะพระเชษฐภคินี้ของพระมหากษัตริย์ถึง ๒ พระองค์ ทรงมีส่วนอย่างยิ่งร่วมกับพระโสทรอนุชาในการกำหนดแนวพระจริยาวัตรและบทบาทของพระบรมวงศ์ในสมัยประชาธิปไตย ทรงเป็นเจ้าฟ้าที่มีพระจริยาวัตรเรียบง่าย ทรงเจริญพร้อมด้วยหลักธรรม หิริโอตัปปะ ทรงมุ่งมั่นในการทรงงาน และการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทยอย่างสม่ำเสมออยู่เป็นนิตย์
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์มีพระหฤทัยเปี่ยมด้วยพระเมตตากรุณา ปรารถนาที่จะให้ประชาชนทั้งเด็ก เยาวชน ผู้สูงวัย ได้ศึกษาหาความรู้ มีวิชาเลี้ยงชีพ มีสุขภาพอนามัยดี สมบูรณ์ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา จึงทรงพระอุตสาหะรับเป็นอาจารย์สอนอยู่ในสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ หลายแห่ง อีกทั้งทรงก่อตั้งดูแลและรับสมาคมและมูลนิธิหลายแห่งที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรมการดนตรีคลาสสิก การแพทย์ พยาบาล การสาธารณสุข และการสังคมสงเคราะห์ไว้ในพระอุปถัมภ์ ทำให้กิจการสมาคม มูลนิธิ และองค์กรการ กุศลเหล่านั้นก้าวหน้ามั่นคง ก่อเกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างใหญ่หลวง
บัดนี้แม้จะสิ้นพระชนม์ล่วงลับไปแล้วถึง ๑๐ ปี แต่สมาคม มูลนิธิ และองค์กรสาธารณกุศลต่างๆ ที่ทรงก่อตั้ง และทรงอุปถัมภ์อนุเคราะห์ช่วยเหลือยังคงดำรงอยู่และมีผู้สืบสานพระปณิธานให้การทั้งหลายดำเนินต่อไปมิได้สิ้นสุด นับเป็นการเทิดพระเกียรติและน้อมระลึก ถึงพระกรุณาธิคุณของพระองค์ด้วยการปฏิบัติบูชาอันประเสริฐ สมตามพระดำรัสที่พระราชทานแก่นักเรียนไทย ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ ว่า “ถ้าคิดถึงฉันนะ ก็ให้ไปคิดบ้างว่าเราจะคิดทำอะไรในสิ่งที่ดี”